รักคือ
ความรัก” เป็นสิ่งจรรโลงใจและอยู่คู่มนุษย์เรามาทุกยุคทุกสมัย ถ้าจะบอกว่าสิ่งที่ว่านี้มีความสำคัญต่อการดำเนินชีวิต
“ความรัก” เป็นสิ่งจรรโลงใจและอยู่คู่มนุษย์เรามาทุกยุคทุกสมัย ถ้าจะบอกว่าสิ่งที่ว่านี้มีความสำคัญต่อการดำเนินชีวิต
ก็คงจะไม่เป็นการกล่าวเกินไปนัก เพราะหากไม่มีความรัก ชีวิตก็ไร้ซึ่งรสชาติและแรงขับเคลื่อน แม้ในบางครั้งการได้พบพานความรักที่อาจไม่ได้จบลงด้วยการใช้ชีวิตร่วมกัน แต่ก็ถือเป็นบทเรียนที่มีคุณค่าสำหรับรักครั้งต่อไป และทำให้เราเข้าใจความรักมากขึ้น
ด้วยเหตุนี้ นิยามความรักของแต่ละคนย่อมแตกต่างกันไปตามประสบการณ์ความรักของตน แต่ปรารถนาร่วมกันของคนทั่วไป คือ การได้ใช้ชีวิตอยู่กับคนที่เรารักไปนานๆ ตำนานรักอมตะเรื่องแล้วเรื่องเล่าที่เคยผ่านหูผ่านตาหรือผ่านการสัมผัสด้วยตัวเอง ย่อมแสดงให้เห็นถึงอานุภาพแห่งความรัก ซึ่งสามารถสรรค์สร้างสิ่งสวยๆ งามๆ ให้เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ จึงไม่แปลกที่ทุกคนต่างพร่ำหา แต่จะมีสักกี่คนที่โชคดีได้ลงเอยกับคนที่เรารักและรักเราอย่างสุดหัวใจ
ในอดีตที่ผ่านมา เรื่องราวความรักที่สร้างความสะเทือนใจให้แก่ชาวจีนจำนวนมากปรากฏให้เห็นอย่างไม่ขาดสาย แต่โดยมากมักเป็นโศกนาฏกรรมที่จบลงด้วยการพลัดพราก และความทุกข์ระทมของคนที่มอบรักแท้ให้แก่กัน สำหรับเรื่องราวความรักที่จะบอกเล่าให้ได้ฟังกันในวันนี้คือรักที่งดงาม และทำให้เรารู้ซึ้งถึงสัจธรรมแห่งรักที่ว่า “ความรักไม่ใช่เรื่องที่ซับซ้อน ขอเพียงคนสองคนมีความจริงใจต่อกัน พร้อมที่จะเสียสละตนเองเพื่อคนที่ตนรัก” ฟังดูเหมือนเป็นเรื่องที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ในชีวิตจริง แต่ก็เกิดขึ้นแล้ว ณ บ้านพักบนภูเขาแห่งหนึ่งทางด้านตะวันตกเฉียงใต้ของเมืองจุงกิง (มณฑลเสฉวน)
ราว 50 กว่าปีก่อน เรื่องราวความรักระหว่างหนุ่มน้อยหลิวกั๋วเจียง กับสวีเฉาชิง สาวม่ายที่มีอายุมากกว่าเขานับ 10 ปี ซึ่งเริ่มต้นการใช้ชีวิตคู่ด้วยการพากันหนีไปอยู่ในป่าลึกที่สูงกว่าระดับน้ำทะเล 1,500 เมตร ไม่มีไฟฟ้าใช้ ไม่มีเพื่อนบ้าน ใช้ชีวิตอยู่ภายใต้สภาพอากาศที่อึมครึมแม้ในเวลากลางวัน มีเพียงแสงสว่างจากตะเกียงน้ำมันที่คอยให้ความสว่างแก่ชีวิต ไหนจะต้องต่อสู้กับสภาพอากาศที่หนาวเน็บ สัตว์ป่าที่ดุร้าย ความหิวโหยที่สุดจะบรรยาย ได้เปิดฉากขึ้น
พวกเขาอาศัยการกินผักป่า เห็ดป่า ผลไม้ป่าประทังชีวิต แต่ความยากลำบากก็ไม่ได้ทำให้ความรักที่พวกเขามีต่อกันลดน้อยถอยลง ทั้งสองต่างช่วยกันเลี้ยงลูก 7 คนด้วยหยาดเหงื่อแรงกายของตัวเอง ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายในบ้านอิฐ 3 หลังที่สร้างขึ้นเอง ปลูกผัก เลี้ยงรังผึ้ง เลี้ยงไก่ด้วยน้ำพักน้ำแรงของตน ด้วยความที่ภรรยาไม่ได้เห็นหน้าค่าตาพ่อแม่นับแต่ที่ตัดสินใจหนีมาอยู่ในภูเขาแห่งนี้ และอยากกลับไปเยี่ยมบุพการีบ้างเป็นครั้งคราว หลิวกั๋วเจียง จึงลงมือขุดเจาะบันไดหินบนเขาที่มีความลาดชัน พร้อมด้วยการเจาะช่องไว้ให้มือเกาะ เพื่อใช้เป็นทางเดินลงมาสู่ตีนเขาวันละเล็กละน้อย เขาเริ่มสร้างตั้งแต่ยังวัยละอ่อนจนศีรษะเต็มไปด้วยผมสีขาวโพลน รวมเวลากว่าครึ่งศตวรรษ กลายเป็น “บันไดรักแดนสวรรค์” 6,000 กว่าขั้น ประจักษ์พยานรักระหว่างเขาและภรรยา
ทุกครั้งที่เขาเดินทางกลับจากการสร้างบันไดหิน สวีเฉาชิง จะจัดเตรียมอาหารที่เขาชอบไว้ให้ ถึงเขาจะรู้ทั้งรู้ว่าภรรยาไม่ค่อยมีโอกาสได้ลงเขาเท่าใดนัก แต่เขาก็ยังคงมุ่งมั่นที่จะสร้างบันไดรักแห่งนี้อย่างเต็มกำลัง ว่ากันว่าบันไดแต่ละขั้นไม่มีตะไคร่เกาะเลย เพราะทุกครั้งหลังจากที่ฝนหยุดตก เขาจะขัดตะไคร่ออกจนสะอาด เผื่อว่าภรรยาต้องใช้บันไดเดินจากบ้านลงมาเยี่ยมลูกๆ ที่อยู่ตีนเขาในวันใดวันหนึ่ง เธอจะได้ไม่ลื่นล้ม
พวกเขาใช้ชีวิตอยู่บนเขาแห่งนี้ตราบจนมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งสิ้นลมหายใจไปก่อน ที่น่าสนใจก็คือ ทั้งคู่ต่างปรารถนาที่จะลาลับโลกนี้ไปก่อนอีกฝ่ายหนึ่ง เพราะไม่อยากลิ้มลองรสชาติการต้องอยู่อย่างเดียวดาย ดังนั้นจึงให้คำมั่นแก่กันว่า หากฝ่ายใดหมดลมหายใจก่อน ก็จะฝังศพไว้ข้างๆ บันไดรักแห่งนี้ และเดินทางลงจากเขาไปใช้ชีวิตกับบรรดาลูกๆ กระทั่งวันสุดท้ายของชีวิตมาถึง ก็ให้ลูกๆ นำศพมาฝังร่วมกัน ณ บันไดรักแห่งนี้ ในวันที่ หลิวกั๋วเจียง สิ้นลม มือข้างหนึ่งจับช่องเกาะบันไดที่เขาสร้างมากับมือไว้ ส่วนอีกข้างก็กุมมือภรรยาไว้แน่น ลูกๆ ต้องออกแรงมหาศาลในการคลายมือของทั้งสองออกจากกัน สวีเฉาชิง นั่งเฝ้าร่างของสามีอยู่เป็นเวลานาน พร้อมกับบ่นพึมพำว่า “เธอจากไปแล้ว ต่อไปฉันจะอยู่ยังไงกัน!” ช่างเป็นเรื่องราวความรักที่สร้างความอิ่มเอมใจและสะเทือนใจให้แก่ผู้ที่ได้รับฟัง
ไม่แน่ว่าการที่ทั้งสองแยกจากกัน พวกเขาอาจไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่าความรักคืออะไร ไม่รู้ว่าอะไรที่เรียกว่าหวานซึ้ง ไม่รู้ว่ายอมตายแทนกันเป็นอย่างไร แต่ความรู้สึกดีๆ ที่มีให้แก่กันมาเป็นเวลานาน และ “บันไดแห่งรัก” ที่สร้างขึ้น ถือเป็นการแสดงออกทางความรักที่ทั้งสองมีให้แก่กัน เพราะความรักเกิดขึ้นจากใจ ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าความรู้สึกที่มีให้แก่กัน แม้ทางข้างหน้าจะเต็มไปด้วยอุปสรรคนานัปการ ก็ไม่เคยย่อท้อ นี่คือรักแท้ระหว่างหลิวกั๋วเจียง และสวีเฉาชิง
เรื่องราวความรักของเขาทั้งสองเริ่มปรากฏสู่สายตาคนนอก หลังจากที่มีนักผจญภัยเดินทางไปพบกับบ้านพักอาศัยของพวกเขาโดยบังเอิญราว 10 ปีก่อน ครั้งแรกที่พบสองสามีภรรยาคู่นี้ พวกเขาถึงกับตกตะลึง คิดว่าน่าจะเป็นคนป่า เพราะไม่เชื่อว่าสภาพภูมิประเทศเช่นนี้จะมีผู้คนอาศัยอยู่
คำถามแรกที่พวกเขาถามนักผจญภัยกลุ่มนี้ คือ “ประธานเหมาฯ ยังสบายดีไหม” ที่หยิบยกประโยคนี้มากล่าวถึง เพื่อแสดงให้เห็นว่าชีวิตของทั้งสองตัดขาดจากโลกภายนอกเป็นเวลานานมาก ความเปลี่ยนแปลงทางสังคมที่เกิดขึ้นหลังจากที่พวกเขาตัดสินใจมาใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ ไม่ได้เป็นที่รับรู้แต่อย่างใด ผู้นำจีนรุ่นแล้วรุ่นเล่าที่นำพาประเทศมาสู่ความเจริญในวันนี้เป็นใครกันบ้าง พวกเขาก็ไม่รู้จัก ขนาดแสงแฟลชจากกล้องถ่ายรูปที่นักผจญภัยใช้ไปกระทบตาของ สวีเฉาชิง เธอถึงกับตกอกตกใจ หลบไปอยู่ด้านหลังของสามีด้วยความกลัว และไม่ยอมให้ใช้อีก
หลังจากที่พวกเขาฟังการถ่ายทอดเรื่องราวความรักที่งดงามของทั้งสองแล้ว ก็ได้นำไปเผยแพร่ผ่านสื่อต่างๆ ชีวิตรักที่สร้างรอยยิ้มและความอิ่มเอมใจให้แก่ผู้ที่ได้รับฟัง ได้รับการกล่าวขานเป็นอย่างมาก ถึงกับได้รับเลือกให้เป็น 1 ใน 10 ตำนานรักคลาสสิกของชาวจีน ของคนยุคใหม่ แม้ว่าวันนี้ทั้งสองต่างจากโลกนี้ไปแล้วก็ตาม แต่นิยามความรักที่พวกเขาได้ถ่ายทอดให้เรารับรู้ผ่านเรื่องราวชีวิตที่ผ่านมา ย่อมสร้างความเชื่อมั่นและแง่คิดในการครองรักให้แก่เราไม่น้อย
อย่างไรก็ดี การใช้ชีวิตอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริงที่เต็มไปด้วยการแข่งขันและสิ่งล่อตาล่อใจมากมาย ย่อมส่งผลต่อทัศนคติที่มีต่อการใช้ชีวิตคู่อย่างมาก สังเกตได้จากอัตราการหย่าร้างของชาวจีนที่สูงขึ้นทุกวัน ดินแดนที่ครั้งหนึ่งเคยได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่มีคติความเชื่อเรื่องความรักที่มั่นคงแห่งนี้ กำลังประสบกับปัญหาสังคมที่เกิดขึ้นจากการหย่าร้าง สถิติของคู่แต่งงานที่หย่าร้างเพิ่มขึ้น 7 ปีติดต่อกัน หากเราพิจารณาจากอายุของคู่รักที่หย่าร้างแล้ว จะพบว่าคนที่มีอายุระหว่าง 2235 ปี ถือว่ามีจำนวนมากที่สุด นอกจากนี้อัตราการทำแท้งของสาวจีนที่มีมากกว่า 13 ล้านครั้งต่อปี สร้างสถิติประเทศที่มีการทำแท้งมากที่สุดในโลก ในจำนวนนี้เด็กที่มีอายุต่ำกว่า 25 ปี มีสัดส่วนเกินกว่าครึ่ง สะท้อนให้เห็นถึงพฤติกรรมทางความรักที่ผิดแผกไปจากนิยามความรักของคนรุ่นก่อนๆ อย่างมาก ความเปิดกว้างและอิสรภาพที่ไร้ขอบเขตของความรัก กลายเป็นบ่อเกิดของปัญหานานัปการ
เมื่อเทียบกับรูปแบบการแสดงความรักของชาวจีนตามเมืองใหญ่ในปัจจุบันแล้ว ความรักของสองสามีภรรรยาคู่นี้ถือว่า “ขัดสน” จนแทบไม่มีอะไรเลย ไม่มีแหล่งรายได้ ไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวก ไม่มีแหวนแต่งงาน ไม่เคยผ่านพิธีแต่งงาน หรือแม้กระทั่งไม่เคยเอ่ยคำว่า “ฉันรักเธอ” ให้ฝ่ายตรงข้ามได้ฟัง พวกเขารู้เพียงว่า “ต้องร่วมแรงร่วมใจ ให้เกียรติซึ่งกันและกัน” ความรักที่พวกเขามีถือเป็นความรู้สึกจากใจ สิ่งเหล่านี้เป็นโซ่คล้องใจที่ทำให้ชีวิตสามารถผ่านร้อนผ่านหนาวร่วมกันยาวนานกว่าครึ่งศตวรรษ
บางทีความรักของพวกเขาอาจเป็นเพียงเรื่องราวความรักของปุถุชนธรรมดา ที่สะท้อนให้เห็นถึงการไร้ซึ่งอิสรภาพทางความรักของคนที่ใช้ชีวิตอยู่ในช่วงหลายสิบปีก่อน อาจถูกคนในหมู่บ้านมองว่าเป็นความรักที่ไม่น่ายกย่อง ไม่น่าเชื่อว่าชีวิตที่เต็มไปด้วยความยากลำบากกลับสามารถยืนหยัดมานานหลายสิบปีอย่างไม่เคยแปรเปลี่ยน นั่นเป็นเพราะทั้งสองต่างยึดมั่นในกันและกัน
ความเจริญก้าวหน้าทางวัตถุของสังคมจีนวันนี้ ส่งผลให้มุมมองความรักของคนยุคใหม่เริ่มมีนิยามที่เปลี่ยนไป เข้าข่ายรักง่ายหน่ายเร็ว รักก็แต่ง เบื่อก็เลิก ไม่พยายามทำความเข้าใจฝ่ายตรงข้าม ทั้งสองฝ่ายต่างมีความต้องการของตัวเอง ไม่จำเป็นต้องมอบความจริงใจให้แก่กัน และไม่คิดที่จะประคับประคองชีวิตคู่ให้ยืนยาวหากความรู้สึกเริ่มจืดจาง ขอเพียงแค่ทำตามความรู้สึกของตน ไม่คำนึงถึงผลลัพธ์ที่ตามมา
ความรักที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของวัตถุ กลายเป็นสาเหตุของความร้าวฉานของชีวิตคู่มานักต่อนัก กลุ่มคนที่ทำตัวเป็นมือที่สาม ภรรยาน้อย เกาะคนรวย เป็นต้น ล้วนเป็นปรากฏการณ์ความรักที่สั่นคลอนความสัมพันธ์อันดีระหว่างคนสองคนเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ ในสังคมจีน คำกล่าวเกี่ยวกับความรักที่เป็นแบบฉบับของชาวจีนอย่าง “มีสุขร่วมเสพ มีทุกข์ร่วมต้าน” “ลงเรือลำเดียวกัน” “ยอมสละซึ่งแล้วทุกอย่างเพื่อความรัก” ไม่ได้อยู่ในความคิดของคนเหล่านี้ มีเพียงเงินทองเท่านั้นที่หล่อเลี้ยงให้พวกเธอยังคงประคับประคอง “ความรัก” ที่ออกนอกลู่นอกทางต่อไป
ในยุคที่รายการหาคู่ทางโทรทัศน์มีมากมายนับไม่ถ้วน การลงเอยของความรักด้วยการแต่งงาน ซึ่งเดิมทีเป็นสิ่งที่ต้องใช้เวลาในการศึกษาดูใจ กลับกลายเป็นพฤติกรรมที่คล้ายกับวัฒนธรรมการทานฟาสต์ฟู้ดเข้าไปทุกที ยิ่งเร็วเท่าไรยิ่งดี การแต่งงานแบบสายฟ้าแลบ


