posttoday

ท่องเที่ยวญี่ปุ่นด้วยตัวเอง(16)

23 กันยายน 2555

ช่วงนี้ชีพจรลงเท้าครับเดินทางตลอด เลยต้องมานั่งปิดต้นฉบับอยู่ที่โตเกียวอีกรอบ รอบนี้ผมมางานท่องเที่ยว มาพบปะกับบรรดาผู้ให้บริการ

ช่วงนี้ชีพจรลงเท้าครับเดินทางตลอด เลยต้องมานั่งปิดต้นฉบับอยู่ที่โตเกียวอีกรอบ รอบนี้ผมมางานท่องเที่ยว มาพบปะกับบรรดาผู้ให้บริการ

เช่น โรงแรม สถานที่ท่องเที่ยว และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของจังหวัดต่างๆ ในญี่ปุ่น ทุกครั้งที่ผมมาประชุม ปัญหาอย่างหนึ่งก็คือสัมภาระ เพราะเอกสารแนะนำที่เขาแจกให้นั้นเยอะมาก ถ้าประชุมเสร็จกลับบ้านเลยก็ไม่มีปัญหา แต่ถ้ามีกำหนดการอื่นเพิ่มเข้ามา สัมภาระก็จะเปลี่ยนสถานะเป็นภาระ ทำให้ต้องหาวิธีจัดการ โชคดีที่ประเทศญี่ปุ่นเขาออกแบบเรื่องพวกนี้ไว้เป็นอย่างดี ทำให้ลดภาระลงไปได้มาก สัปดาห์นี้เลยถือโอกาสหยิบเรื่องการจัดการสัมภาระมาแนะนำให้ท่านผู้อ่านฟังครับ

การจัดการสัมภาระในญี่ปุ่นมี 2 วิธีครับ วิธีแรก คือ การฝาก วิธีที่สอง คือ การส่ง ตอนผมมาเที่ยวญี่ปุ่นใหม่ๆ ผมตื่นเต้นกับระบบขนส่งมวลชนมาก เพราะมันสะดวกสบายไปหมด ชอบนั่งรถไฟและรถไฟใต้ดินมาก ถือเป็นความภาคภูมิใจเลยก็ว่าได้ เวลาพาเพื่อนๆ หรือลูกค้ามาญี่ปุ่น แล้วถูกขอร้องให้พานั่งรถไฟไปเที่ยวตามย่านต่างๆ ผมจะรีบอาสาไม่ใช่เพราะขยันนะครับ แต่เพราะอยากโชว์เก่ง พอขึ้นรถไฟบ่อยๆ ก็สังเกตเห็นว่าที่ไหนมีระบบขนส่งมวลชนที่นั่นต้องมีตู้รับฝากของ ก็เลยแปลกใจว่า ทำไมมันถึงมีกันมากมายขนาดนี้ พอลองพิจารณาดูก็เลยรู้ว่า มันใช้

ประโยชน์ได้สารพัด ท่านผู้อ่านคงแปลกใจว่า ไอ้ตู้ฝากของมันไม่เห็นจะแปลกตรงไหน แต่ผมขอถามว่า ถ้ามันเป็นปกติแล้วทำไมบ้านเราถึงไม่มี คำตอบ คือ พฤติกรรมการใช้ชีวิตของเรากับเขาต่างกัน ยกตัวอย่างเช่น คนญี่ปุ่นอาจจะเดินทางจากเมืองหนึ่งไปทำงานอีกเมืองหนึ่ง พอทำเสร็จก็ต้องไปนอนที่อีกเมืองหนึ่ง แบบนี้เขาก็จะมีสัมภาระสำหรับค้างคืนติดมาด้วย แต่ไม่สะดวกที่จะลากไปไหนมาไหนระหว่างทำงานที่เมืองนั้น ก็จะฝากใส่ตู้ไว้ หรือเด็กวัยรุ่นจะออกมาเที่ยวเล่น หรือทำกิจกรรมกับเพื่อน เช่น แต่ง Cosplay ฝึกเต้น ฯลฯ ก็จะแต่งตัวปกติออกจากบ้าน แล้วมาหาที่เปลี่ยนตามห้องน้ำของสถานี แล้วก็ฝากของในตู้เป็นต้น ใครไปเที่ยวแล้วสัมภาระเต็มมือ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด ลองใช้บริการตู้ฝากสัมภาระดู ท่านอาจจะเที่ยวได้สบายขึ้น หรืออาจจะซื้อของได้มากขึ้นก็ได้ แต่การฝากก็มีข้อจำกัดคือขนาดและจำนวน ถ้าใหญ่เกินไปหรือมากเกินไป ก็จะเริ่มไม่สะดวกตอนขนย้าย ต้องไปใช้วิธีที่สอง คือ การส่งครับ

ท่องเที่ยวญี่ปุ่นด้วยตัวเอง(16)

การส่งสัมภาระในญี่ปุ่นนั้น ยิ่งอัศจรรย์กว่าตู้ฝากสัมภาระ ผมกล้าพูดเลยว่า ระบบส่งสัมภาระของญี่ปุ่นนั้นดีที่สุดในโลก เพราะทั้งสะดวกและทรงประสิทธิภาพ สมัยก่อนผมยังโง่อยู่ เวลาเดินทางไปไหนก็จะลากกระเป๋าไปด้วยทุกเมือง และกระเป๋าเดินทางสมัยเมื่อ 20 กว่าปีที่แล้ว ก็ไม่สะดวกสบายเท่าปัจจุบันเป็นภาระมาก แต่ก็ไม่รู้จะทำยังไงเพราะเราไม่มีความรู้ จนได้ไปทำงานที่สายการบินญี่ปุ่นนั่นแหละครับ ถึงได้เรียนรู้วิชาส่งสัมภาระและใช้ประโยชน์มาจนถึงทุกวันนี้ ตอนเดินทางเองคนเดียวยังไม่เท่าไหร่ แต่พอไปกับครอบครัวนี่ ถ้าไม่พึ่งบริการส่งสัมภาระคงแย่ เพราะไหนจะกระเป๋าตัวเอง กระเป๋าภรรยา กระเป๋าลูก กระเป๋าลาก กระเป๋าถือ ภรรยาก็ต้องอุ้มลูก ผมคนเดียวต้องลากกระเป๋าทั้งหมด ต่อให้ใช้กระเป๋าที่เบาและลื่นแค่ไหนมันก็ไม่ไหวหรอกครับ ยิ่งตอนขนขึ้นรถไฟนี่ไม่ต้องบรรยายเลยครับ ผมเคยลองอยู่ครั้งสองครั้ง ด้วยความมั่นใจในฝีมือว่าเอาอยู่ สุดท้ายเหนื่อยแทบแย่ แต่พออายุมากขึ้น จะให้บ้าหอบฟางอย่างครั้งก่อนๆ คงไม่ไหว สู้ส่งสัมภาระล่วงหน้าไม่ได้ หลายท่านอาจจะคุ้นเคยแล้ว แต่ท่านที่ยังไม่เคย ลองดูตัวอย่างที่ผมจะแนะนำนะครับ

สมมติว่า ท่านวางแผนเที่ยวโตเกียว ฟูจิ ฮาโกเนะ เกียวโต โอซากากับครอบครัว การวางแผนเรื่องสัมภาระเป็นตัวตัดสินว่าท่านจะลำบากหรือสบาย ถ้าเครื่องลงที่โตเกียวแล้วเที่ยวโตเกียวก่อน ผมแนะนำให้เดินทางไปโรงแรม โดย Limousine Bus เพราะจะได้ไม่ต้องพะวงเรื่องจำนวนสัมภาระ ดังนั้นการเลือกที่พักที่มี Limousine Bus ไปถึง เป็นสิ่งที่ผมเห็นด้วยอย่างยิ่ง พอท่านเที่ยวโตเกียวเสร็จ จะไปฟูจิและนอนค้างแถวฮาโกเนะคืนหนึ่ง ผมแนะนำให้ท่านทำกระเป๋าเล็กสำหรับ 1 คืน แล้วส่งกระเป๋าใหญ่ไปโอซากาเลย เที่ยวแถวฮาโกเนะเสร็จท่านจะตรงไปโอซากา หรือจะแวะเที่ยวเกียวโตก็แล้วแต่ท่าน ถ้าท่านจะแวะเกียวโต ก็ใช้บริการตู้ฝากสัมภาระที่สถานีรถไฟ แล้วไปเที่ยวแบบสบายตัว เที่ยวเสร็จกลับมาเอาสัมภาระแล้วนั่งรถไฟต่อไปโอซากา ถึงโรงแรมกระเป๋าใหญ่ที่ท่านส่งมาจากโตเกียวก็นอนรออยู่ที่ห้องเก็บของของโรงแรมแล้ว โรงแรมบางแห่งบริการถึงใจกว่า นำสัมภาระทั้งหมดไปรอไว้ให้ในห้องพักก็เคยเจอมาแล้ว และวันเดินทางกลับก็เหมือนเดิม คือ นั่ง Limousine Bus ไปสนามบินพร้อมสัมภาระที่มากเกินกำลังจะแบก ลองนำแผนนี้ไปปรับใช้ในการเดินทางของท่านดูนะครับ

ทีนี้วิธีส่งสัมภาระเขาทำกันอย่างไร ง่ายมากครับ เพราะบริการส่งสัมภาระในญี่ปุ่นนั้นหาง่ายมาก ทุกสนามบินมี ทุกโรงแรมมี ในห้างสรรพสินค้าก็มี ตามตึกใหญ่หรือย่านธุรกิจการค้าก็มี และก็มีมากมายหลายบริษัทแข่งขันกัน หลายท่านได้รับคำแนะนำมาว่าให้ส่งแมวดำ ก็มองหาแต่แมวดำ พอไม่มีก็ไม่กล้าส่ง แมวดำคาบลูกเป็นโลโก้ของบริษัท Yamato ที่ท่านอาจจะคุ้นเคยเพราะมีที่เมืองไทยด้วย แต่เจ้าอื่นก็บริการไม่แตกต่างกันครับ ราคาก็ใกล้เคียงกัน ท่านเพียงแค่นำสัมภาระของท่านไปที่เคาน์เตอร์ของเขา บางโรงแรมอาจจะไม่มีเคาน์เตอร์ของบริษัทเหล่านี้ แต่ก็ส่งกับโรงแรมได้ เพราะบริษัทเขาจะมารับส่งทุกวันวันละมากกว่าหนึ่งรอบ ค่าบริการก็คิดจากขนาดหรือน้ำหนักและระยะทาง ปกติการส่งกระเป๋าขนาดมาตรฐานคนไทยจากโตเกียวไปโอซากาก็ตกใบละประมาณ 1,500 เยนบวกลบ ส่ง 3 ใบก็เกือบ 5,000 เยน หลายท่านอาจจะคิดว่าไม่คุ้ม แต่ท่านลองคำนวณดีๆ ว่า ถ้านำกระเป๋าทั้ง 3 ชิ้นติดตัวไปไหนต่อไหนด้วย ค่าแท็กซี่จากโรงแรมต้นทางไปสถานีรถไฟและจากสถานีรถไฟไปโรงแรมปลายทาง รวมๆ แล้วก็อาจจะใกล้เคียงกัน แต่สะดวกและสบายผิดกันครับ

ทีนี้ระหว่างทางถ้าท่านซื้อของเพลินจนกระเป๋าเล็กของท่านใส่ของไม่พอและก็ไม่อยากแบกสัมภาระเพิ่ม ท่านก็สามารถซื้อกล่องของเขาเอามาใส่สิ่งละอันพันละน้อยของท่าน แล้วส่งไปยังจุดหมายปลายทางเหมือนสัมภาระชุดแรก แต่สิ่งหนึ่งที่ต้องระมัดระวัง ก็คือ ระยะเวลาในการส่ง โดยปกติจะใช้เวลา 24 ชั่วโมง หมายถึงว่า ถ้าท่านส่งเช้าวันนี้สัมภาระจะไปถึงปลายทางเช้าวันพรุ่งนี้ ส่วนวิธีในการส่งก็ง่ายมาก ขอให้ท่านทราบว่าท่านจะส่งไปไหนก็พอ ท่านอาจจะเตรียมรายละเอียดไปด้วย แต่ถ้าลืม ท่านแค่แจ้งชื่อโรงแรมและย่านที่ท่านจะพักให้เจ้าหน้าที่ทราบ เขาสืบค้นแป็บเดียวก็หารายละเอียดได้ และถ้าเขาไม่มั่นใจเขาก็จะโทรไปสอบถามที่ปลายทางให้เลยว่าท่านมีการสำรองที่พักไว้หรือไม่ รับรองว่าระบบส่งสัมภาระของญี่ปุ่นนั้นเป๊ะ 100% ผมส่งทุกครั้ง ถึงทุกครั้งและตรงเวลาทุกครั้ง ที่สำคัญกระเป๋าไม่เคยถูกแอบเปิดของไม่เคยหาย ทำให้การเที่ยวเองในญี่ปุ่นนั้นเป็นเรื่องง่าย ใครที่เคยลำบากกับเรื่องสัมภาระ ลองนำไปปรับใช้ดูนะครับ รับรองว่าจะติดใจ

 

ข่าวล่าสุด

ศาลชั้นต้น พิพากษาประหารชีวิต “เชษฐ์ปาดัง” เลขานายกปาดังเบซาร์