ประมูลกรุสมบัติ 100 ปี ไททานิค
บริษัทผู้ได้สิทธิเหนือเรือไททานิคเปิดประมูลซากเรือ-สมบัติท่ามกลางคำถาม พิทักษ์ความทรงจำหรือหากินกับความตาย?
โดย...ลภัสรดา ภูศรี
เช้าตรู่ของวันที่ 10 เม.ย. 1912 การเดินทางรอบปฐมฤกษ์ของ “อาร์เอ็มเอส ไททานิค” (RMS Titanic) เรือเดินสมุทรประเภทเรือสำราญที่ได้ชื่อว่าหรูหราและใหญ่ที่สุดในขณะนั้น เจ้าของฉายา “ราชินีแห่งท้องทะเล” ครั้งประวัติศาสตร์ก็เริ่มต้นขึ้น
ท่าเรือเซาท์แธมป์ตันของอังกฤษ ซึ่งเป็นจุดนัดหมายก็คลาคล่ำไปด้วยผู้โดยสารที่มีตั๋วอยู่ในมือทั้งหมด 2,224 คน ไม่ว่าจะเป็นผู้โดยสารชั้นหนึ่ง ซึ่งเป็นบุคคลชั้นสูงในวงสังคมของอังกฤษ ยุโรป และสหรัฐ ที่อยู่ในชุดสวยงามหรูหราตามสมัยนิยม พร้อมเครื่องประดับสร้อยแหวนแสดงถึงยศฐาบรรดาศักดิ์ พร้อมกระเป๋าเดินทางบรรจุทรัพย์สินมีค่าส่วนตัวหลายพันใบ ไปจนถึงผู้โดยสารชั้นสองและสามกับสัมภาระจำเป็นก็ทยอยเดินขึ้นเรือตามช่องทางที่แบ่งแยกไว้อย่างเป็นสัดส่วน เพื่อมุ่งหน้าเข้าสู่การใช้ชีวิตบนเรือสำราญครั้งสำคัญ
ขณะที่ผู้โดยสารชั้นหนึ่งบางส่วนมุ่งหน้าสู่ห้องพักของตัวเอง ที่ถูกดีไซน์ตามความหรูหราและกำลังทรัพย์ที่มีให้เลือกหลากหลายสไตล์ ตั้งแต่ห้องพักแบบเฟิสต์คลาสสไตล์อิตาเลียน เรเนอซองส์ ดัตช์โบราณ ดัตช์สมัยใหม่ ฯลฯ ที่ทำจากวัสดุคุณภาพอย่างผนังไม้โอ๊กและไม้มะฮอกกานีที่มาพร้อมกับเฟอร์นิเจอร์สุดหรูหลากชิ้นที่ออกแบบโดยดีไซเนอร์ชื่อดัง
ส่วนผู้โดยสารชั้นสองและสามก็รีบกรูเข้าไปจับจองห้องพักที่ถูกแบ่งแยกความสะดวกสบายตามกำลังทรัพย์ คือตั้งแต่ห้องพักขนาด 2-4 เตียงนอน พร้อมเฟอร์นิเจอร์ดั่งโรงแรมระดับ 3 ดาว ไปจนถึงห้องพักขนาด 8 เตียงนอน และห้องน้ำรวม ที่แม้จะคับแคบ แต่สะอาดสะอ้าน
ผู้โดยสารชั้นหนึ่งบางส่วนก็มุ่งหน้าเดินสำรวจความอลังการภายในตัวเรือที่ถูกตกแต่งอย่างหรูหรา ที่มูลค่าการตกแต่งสูงถึง 2.5 ล้านเหรียญสหรัฐในขณะนั้น หรือราว 100 ล้านเหรียญสหรัฐในปัจจุบัน
ภายในเรือ นอกจากจะคลาคล่ำไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก เช่น สระว่ายน้ำ ห้องอาบน้ำแบบตุรกี เนิร์สเซอรี ห้องเก็บกระเป๋าเดินทาง ดาดฟ้า และลิฟต์ 4 ตัวที่แยกตามชนชั้น ซึ่งถูกตกแต่งอย่างละเมียดละไมแล้ว เรือไททานิคยังเต็มไปด้วยสิ่งบันเทิงเต็มรูปแบบ เช่น ห้องนั่งเล่น ห้องสมุด ห้องสูบบุหรี่ ห้องยิมเนเซียม คาเฟ่ ขนาดเล็ก ฯลฯ
เมื่อถึงเวลา 13.30 น. “อาร์เอ็มเอส ไททานิค” ก็พร้อมถอนสมอและออกเดินทางข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกจากเซาท์แธมป์ตัน ประเทศอังกฤษ ไปยังมหานครนิวยอร์กของสหรัฐ ตามกำหนดการอย่างยิ่งใหญ่ในทันที
โดยไม่มีใครล่วงรู้เลยว่า การออกเดินทางในวันนั้นจะกลายเป็นเที่ยวแรกและเที่ยวสุดท้ายของ อาร์เอ็มเอส ไททานิค
เมื่อการเดินทางดำเนินมาถึงวันที่ 14 เม.ย. 1912 เวลา 23.40 น. ขณะที่เรือไททานิคลอยลำอยู่ทางใต้ของแกรนด์แบงก์ ที่นิวฟันด์แลนด์ อุณหภูมิภายนอกเรือลดลงอย่างรวดเร็วจนเกือบถึงจุดเยือกแข็ง และน้ำทะเลรอบๆ ก็นิ่งสงัดไร้คลื่นทะเล
และสิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เมื่อเรือ “ไททานิค” ได้พุ่งเข้าชนกับภูเขาน้ำแข็งขนาดยักษ์อย่างรุนแรง จนส่งผลให้กราบขวาด้านหัวเรือเกิดรอยแตก หลังจากนั้นไม่นาน น้ำทะเลอันเย็นเฉียบก็เริ่มไหลทะลักเข้าท่วมห้องเครื่องที่ 6 และท่วมไปทีละห้องๆ จนถึงส่วนห้องพักของผู้โดยสารชั้นสาม และด้านหัวเรือก็เริ่มจมลงในทะเลอย่างช้าๆ
ผู้โดยสารที่ตื่นตระหนกรีบเร่งสวมเสื้อชูชีพกันอย่างจ้าละหวั่น โดยทิ้งทรัพย์สินมีค่าส่วนตัวทุกอย่างไว้เบื้องหลัง เพื่อหนีตายเอาชีวิตรอดไปขึ้นเรือชูชีพที่มีอยู่อย่างจำกัด
และเมื่อถึงเวลา 02.05 น. ของวันที่ 15 เม.ย. 1912 เรือชูชีพทุกลำถูกปล่อยออกไปจนหมด โดยที่ยังเหลือผู้โดยสารอยู่บนเรืออีกมากกว่า 1,500 คน
ทันใดนั้น ท้ายเรือเริ่มยกตัวขึ้นจนเห็นใบจักรขับเคลื่อนลอยขึ้นมาอย่างชัดเจน ก่อนที่เรือจะขาดออกเป็นสองท่อน ทำให้ส่วนหัวเรือจมลงอย่างรวดเร็ว และดึงส่วนท้ายเรือขึ้นมา จนส่วนท้ายเรือยกตั้งฉากกับพื้นน้ำ
และแล้วเมื่อถึงเวลา 02.20 น. เรือไททานิคซึ่งได้ชื่อว่า “เรือที่ไม่มีวันจม” ก็เริ่มจมลงในแนวดิ่งลงสู่พื้นมหาสมุทรอันมืดมิดและหนาวเย็น ปิดฉากการเดินทางครั้งประวัติศาสตร์ลงในที่สุด
เชื่อได้ว่า แม้เวลาจะล่วงเลยผ่านไปถึง 100 ปีเต็ม ตำนานเล่าขานโศกนาฏกรรมของ “เรือที่ไม่มีวันจม” ลำนี้ ยังคงถูกเล่าสืบทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่นจนถึงปัจจุบัน
และในวันนี้ ตำนานเรือสมุทรไททานิคจะกลับมามีชีวิตอีกครั้ง เมื่อ บริษัท อาร์เอ็มเอส ไททานิค อิงก์ บริษัทผู้ได้รับสิทธิเหนือซากเรือไททานิคทั้งหมด ทำการเปิดประมูลสิ่งของต่างๆ จากซากเรือไททานิคราว 5,500 ชิ้นอย่างเป็นทางการในวันที่ 15 เม.ย. 2012 ซึ่งเป็นวันครบรอบ 100 ปีเต็มของโศกนาฏกรรม
แม้ว่าในครั้งนี้จะไม่ใช่การประมูลสิ่งของจากซากเรือไททานิคครั้งแรก แต่การประมูลในครั้งนี้แตกต่างกับการประมูลครั้งอื่นๆ เพราะเป็นการประมูลที่มีเงื่อนไขสำคัญ 2 ประการคือ 1.สิ่งของทั้ง 5,500 ชิ้น จะถูกรวมเป็นคอลเลกชันเดียว โดยจะไม่มีการนำซากสิ่งของต่างๆ แยกประมูลเป็นรายชิ้นโดยเด็ดขาด และ 2.ผู้ที่ประมูลได้ ต้องนำสิ่งของทั้งหมดออกแสดงเป็นนิทรรศการ และเปิดให้สาธารณชนเข้าชมตามวาระโอกาสที่เหมาะสม เพื่อให้คนรุ่นปัจจุบันและในอนาคตได้รับทราบประวัติศาสตร์ที่สำคัญนี้
บริษัท เกิร์นซีย์ ออคชั่นเนียร์ แอนด์โบรกเกอร์ส ผู้จัดการประมูล ซึ่งจะมีขึ้นที่เมืองริชมอนด์ รัฐเวอร์จิเนียของสหรัฐ กล่าวว่า เราต้องการเปิดทางให้ทุกคน ไม่ว่าจะเป็นบุคคลธรรมดา พิพิธภัณฑ์ มหาวิทยาลัย หรือรัฐบาลประเทศต่างๆ มีส่วนร่วมและเข้ามาประมูลได้อย่างเท่าเทียมกัน โดยที่จะไม่มีการแยกสิ่งของขายเพื่อหาผลกำไรเข้ากระเป๋าส่วนตัวอย่างเด็ดขาด โดยในขณะนี้มีรัฐบาลหลายประเทศ ซึ่งหมายรวมถึงแคนาดา ส่งคำถามเข้ามาถามเกี่ยวกับรายละเอียดการประมูลเป็นจำนวนมาก
รายงานระบุว่า แม้ว่าก่อนหน้านี้ได้มีชายนิรนามยื่นข้อเสนอขอซื้อสร้อยคอทองคำเส้นเล็กที่สลักชื่อว่า เอมี (AMY) ด้วยเพชรเพียงไม่กี่กะรัต ซึ่งเป็นหนึ่งในลิสต์เครื่องประดับอีกหลายร้อยชิ้นที่พบในซากเรือเป็นเงินสูงถึง 1 แสนเหรียญสหรัฐ (ราว 3.1 ล้านบาท) โดยทางบริษัทคาดว่าสร้อยเส้นดังกล่าวต้องมีมูลค่าทางจิตใจต่อชายนิรนามผู้นี้เป็นอย่างมาก ถึงได้ยอมทุ่มเงินซื้อขนาดนี้
อย่างไรก็ตาม ทางบริษัทต้องปฏิเสธข้อเสนอดังกล่าว เพราะนอกจากจะผิดความตั้งใจเดิม ยังผิดกฎหมายการประมูลที่บริษัทตั้งไว้อีกด้วย
ท่ามกลางจดหมายและโปสต์การ์ดของผู้รอดชีวิตที่เขียนถึงญาตินับร้อยชิ้น สิ่งของที่จะนำมาประมูลในครั้งนี้ หมายรวมถึงทรัพย์สินส่วนตัวของผู้โดยสารและลูกเรือ เช่น เพชรพลอย สร้อยแหวนล้ำค่า ภาพถ่ายส่วนตัว สมุดบันทึก อุปกรณ์ต่างๆ ในเรือ ไปจนถึงของประดับตกแต่ง จานชาม นาฬิกาที่เวลาหยุดไว้อยู่ที่ 02.20 น. ซึ่งเป็นเวลาที่เรือจมลง ข้อมูลทางโบราณคดีและภาพแผนที่แสดงความเสียหายของเรือ ตั๋วเดินเรือเที่ยวปฐมฤกษ์ ทั้งที่อยู่ในสภาพสมบูรณ์และผุกร่อนตามกาลเวลา
ไฮไลต์ของประมูลชิ้นสำคัญที่หลายฝ่ายจับตามองอยู่ที่รายงานซึ่งเขียนโดย กัปตัน อาร์เธอร์ เฮนรี รอสตรอน กัปตันเรืออาร์เอ็มเอส คาร์พาเธีย เรือเดินสมุทรที่แล่นเข้าไปช่วยผู้รอดชีวิตที่ลอยคออยู่กลางทะเล ซึ่งคาดว่าน่าจะถูกประมูลในราคาที่สูงถึง 1.2 แสนเหรียญสหรัฐ (ราว 3.72 ล้านบาท)
“ขณะนี้เวลา 00.35 น. วันที่ 15 เม.ย. 1912 ผมได้รับรายงานจากเจ้าหน้าที่ 1 ว่า เรือเดินสมุทร ‘ไททานิค’ ของบริษัท ไวท์ สตาร์ ไลน์ ส่งสัญญาณฉุกเฉินผ่านทางโทรเลข ชี้แจ้งว่าเรือไททานิคได้พุ่งเข้าชนภูเขาน้ำแข็ง และต้องการความช่วยเหลือโดยเร่งด่วน ผมจึงสั่งการให้กลับลำเรือคาร์พาเธียในทันที พร้อมกับส่งข้อความตอบกลับไปยังเรือไททานิคผ่านทางโทรเลขเช่นเดียวกันว่า ขณะนี้คาร์พาเธียกำลังมุ่งหน้าไปช่วยเหลือเรือไททานิคอย่างเร่งด่วน” ข้อความในรายงานชิ้นหายาก ซึ่งเขียนด้วยลายมือของกัปตันผู้เป็นฮีโร่ในโศกนาฏกรรม ระบุ
มาร์ก เซลเลอร์ ประธานกรรม บริษัท พรีเมียร์ เอ็กซิบิชัน และอาร์เอ็มเอส ไททานิค ระบุว่า ทีมงานของบริษัทได้ทุ่มเททั้งเงินทุนหลายร้อยล้านเหรียญสหรัฐ และเวลานานหลายสิบปีงมสิ่งของที่จมลงไปพร้อมกับเรือไททานิค พร้อมกับทำความสะอาดและเก็บรักษาเป็นอย่างดี
“ความพยายามทั้งหมดเหล่านี้ เราจึงตัดสินใจว่าคงถึงเวลาแล้วที่จะเราถ่ายโอนกรรมสิทธิ์ความเป็นเจ้าของคอลเลกชันล้ำค่านี้ ส่งต่อให้กับบุคคลที่สามารถสานต่อความพยายามที่จะเก็บรักษาและเชิดชูสมบัติล้ำค่านี้ต่อไป”
อลัน เอธิงเจอร์ ผู้ดำเนินการประมูลในครั้งนี้ มองว่า การงมสิ่งของต่างๆ เท่ากับเป็นการเก็บรักษาความทรงจำเกี่ยวกับโศกนาฏกรรมครั้งประวัติศาสตร์ให้คงอยู่ต่อไป เพราะในขณะนี้กาลเวลาและความเค็มของน้ำทะเลกำลังกัดกร่อนซากเรือไททานิคอย่างรุนแรงและรวดเร็ว จนวันหนึ่งอาจไม่มีซากเรือดังกล่าวหลงเหลืออยู่เลยก็เป็นได้
“สักวันหนึ่งซากดังกล่าวจะถูกกัดกร่อนจะไม่เหลือร่องรอย ดังนั้นสิ่งของต่างๆ ทั้ง 5,500 ชิ้น จึงกลายเป็นตัวแทนความทรงจำของโศกนาฏกรรมที่เราเก็บรักษาไว้ดูต่างหน้า” เอธิงเจอร์ กล่าว
อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ทุกคนที่เห็นด้วยกับการประมูลซากสิ่งของในครั้งนี้ เพราะมีการโต้แย้งว่า สิ่งของที่ได้จากการงมควรจะตกเป็นของลูกหลานของเหยื่อผู้เสียชีวิตหรือไม่ หากมีผู้นั้นสามารถแสดงหลักฐานยืนยันความเป็นเจ้าของได้
นอกจากนี้ ยังมีหลายฝ่ายมองว่า การงมสิ่งของจากซากเรือไททานิคคล้ายกับการปล้นสมบัติในสุสาน ซึ่งถือเป็นการกระทำที่ไร้ซึ่งเกียรติและศักดิ์ศรี และไม่เคารพผู้เสียชีวิตอย่างยิ่ง
“ซากเรือไททานิคก็เปรียบได้ดั่งสุสาน เพราะมีสิ่งของส่วนตัวของผู้อื่นจำนวนมากอยู่ภายใต้ซากนั้น ผมเลยรู้สึกว่าการเข้าแอบรื้อดูสิ่งของของคนอื่นและนำมาติดป้ายราคาเพื่อขายเช่นนี้เป็นสิ่งที่ผิด และดูถูกคนตายเป็นอย่างมาก” ร็อบ กอร์ดอน ชายผู้ต้องสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักถึงสองคนกับโศกนาฏกรรมในครั้งนี้ กล่าว พร้อมเปิดเผยว่า ชุดแต่งงานของอาทวดของเขาก็อยู่ภายใต้ซากเรือเช่นเดียวกัน
“แม้ซากเรือไททานิคจะหายไปในวันพรุ่งนี้จริงๆ ก็ไม่สามารถทำให้ประวัติศาสตร์ หรือความรู้สึกของผมที่มีต่อโศกนาฏกรรมนี้เปลี่ยนไปได้เลย” ร็อบ กล่าว


