posttoday

ไขปริศนา‘คนกินคน’ ป่วยทางจิต หรือไร้ทางเลือก

31 มีนาคม 2555

เชื่อได้เลยว่า ไม่ว่าใครก็ต้องนั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดพร้อมกับอ้าปากค้างด้วยความสงสัย และรู้สึกสะอิดสะเอียนไปพร้อมๆ กัน

โดย...ลภัสรดา ภูศรี

เชื่อได้เลยว่า ไม่ว่าใครก็ต้องนั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดพร้อมกับอ้าปากค้างด้วยความสงสัย และรู้สึกสะอิดสะเอียนไปพร้อมๆ กัน เมื่อได้ยินเหตุสะเทือนขวัญสั่นประสาทของหนุ่มชาวเมืองวลาดีวอสตอก ของรัสเซีย วัย 35 ปี ที่ทำการสังหารโหดและชำแหละเพื่อนร่วมวงเหล้าออกเป็นชิ้นๆ ก่อนที่จะนำไปปรุงอาหารเป็นเมนู“กับแกล้มเนื้อคน”และลงมือ“สวาปามกิน”เพื่อนของตัวเองด้วยความเอร็ดอร่อย

ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ ว่าเจ้าหนุ่มซีอุยหมีขาวรายนี้ยอมรับสารภาพอย่างหน้าตาเฉยไร้ความสะทกสะท้านว่า สาเหตุที่ฆ่าเพื่อนนั้น ก็เพราะ“ความหิว”ครอบงำเท่านั้นเอง

เพราะทันทีที่รู้ว่ากับแกล้มที่ซื้อมากินกับเพื่อนในวงเหล้านั้นเริ่มร่อยหรอ แต่ตัวเองยังคงหิวจัดอยู่ เจ้าหนุ่มซีอุยซึ่งมีฤทธิ์แอลกอฮอล์พุ่งพล่านเข้มข้นอยู่ในเส้นเลือดผสมผสานกับความหิวแบบไร้สติ จึงเกิดภาพหลอนมองเห็นเพื่อนร่วมวงเหล้าร่างกายอวบอัด ซึ่งอยู่ในสภาพเมาแอ๋ เป็น“อาหารจานโตอันโอชะ”ขึ้นมา

ว่าแล้วเจ้าหนุ่มรายนี้ จึงจัดแจงนัดแนะเพื่อนอีกคนหนึ่งให้พูดจาหลอกล่อ“อาหาร”ผู้ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ให้เข้าไปอีกห้อง และทำการปลิดชีพเพื่อน ก่อนค่อยๆ บรรจงเลาะเนื้อแบบติดหนังเล็กน้อยพออร่อยเพื่อนำมาปรุงเป็น“กับแกล้ม”ปรนเปรอความอยากของตัวเองในทันที

และเมื่อรับประทานจนหายหิว เจ้าหนุ่มรายนี้ก็ไม่ลืมที่นำเนื้อและตับ ไต ไส้พุงของเพื่อนส่วนที่เหลือไปออกขายที่ตลาด โดยอ้างว่าเป็นเนื้อหมู เพื่อไม่ให้เสียของอีกด้วย

แต่แล้วเรื่องก็มาแตก เมื่อคุณปู่ผู้โชคร้ายที่ดันซื้อเนื้อชิ้นดังกล่าวไป เริ่มรู้สึกถึงความผิดปกติ หลังนำเนื้อไปปรุงอาหารแล้วมีกลิ่นเหม็นสาบแบบสุดจะทนลอยมาแตะจมูก คุณปู่จึงรีบนำเนื้อไปให้นักวิทยาศาสตร์ตรวจสอบ และก็ต้องช็อกลมจับเมื่อพบว่าเนื้อที่ซื้อมาและทดลองชิมไปนั้นเป็น“เนื้อคน”

ไขปริศนา‘คนกินคน’ ป่วยทางจิต หรือไร้ทางเลือก

 

“อาหารหมดพอดี”ซีอุยแดนหมีขาวเปิดเผยกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ พร้อมกับรับสารภาพทุกข้อกล่าวหา โดยเบื้องต้นตำรวจคาดว่า หนุ่มรายนี้ไม่น่าจะวิกลจริตและทำไปเพราะมึนเมาจนขาดสติเท่านั้นเอง

หลังจากนี้ ผู้ต้องหากินเพื่อนรายนี้จะถูกส่งตัวไปประเมินทางการแพทย์เพื่อตรวจสอบสภาพจิตใจต่อไป ซึ่งหากพบว่ามีความผิดจริงอาจต้องโทษจำคุกตลอดชีวิต โดยที่เพื่อนร่วมลงมือสังหารอาจถูกจำคุกนาน 2 ปี โทษฐานมีส่วนรู้เห็น

ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ ว่าในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน เมืองเพนซาซึ่งตั้งอยู่ห่างจากเมืองวลาดีวอสตอกเกือบ 9,000 ไมล์ ก็เกิดเหตุโศกนาฏกรรม“คนกินคน”เช่นเดียวกัน

ทว่า ดีกรีความสะอิดสะเอียนของเรื่องราวที่เกิดขึ้นที่เมืองเพนซานั้น เรียกได้ว่าโหดทะลุปรอทเลยทีเดียว

เพราะอเล็กซานเดอร์ บิสคอฟฆาตกรโรคจิตต่อเนื่องชาวรัสเซีย วัยเพียง 23 ปีรายนี้ได้ทำการสังหารโหดแฟนสาว ก่อนซัด“ตับ”และ“หัวใจ”เหยื่อเข้าปากด้วยความสะใจ เพราะแค้นที่แฟนสาวด่าทอตัวเองอย่างเสียๆ หายๆ ว่า เป็นผู้ชายโง่งี่เง่า

“เธอด่าผมว่า ผมเป็นคนอ่อนแอ ไม่ใช่ผู้ชายเข้มแข็ง ผมเลยทำให้เธอได้เห็น เธอจะได้หยุดพูด หยุดบ่น และเข้าใจซะทีว่า ผมน่ะของจริง!”บิสคอฟ ให้การต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจถึงสาเหตุการสังหารแฟนสาวอย่างเลือดเย็น

และเมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินการสืบสาวราวเรื่องอย่างต่อเนื่อง ก็ต้องถึงกับนั่งอึ้งกิมกี่กันเป็นทิวแถว เพราะแฟนสาวผู้โชคร้ายไม่ใช่“เหยื่อที่กลายเป็นอาหาร”รายแรกของเจ้าบิสคอฟ โดยที่เจ้าบิสคอฟก็ยอมรับสารภาพแต่โดยดีว่า ได้ลงมือเชือดเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายอีก 6 คน ด้วยมีดปลายแหลมจ้วงแทงเหยื่อจนเสียชีวิต ก่อนที่จะเลาะหนังออกจากกระดูกและคว้านนำเอาตับและหัวใจของเหยื่อมาปรุงอาหารรับประทาน ซึ่งในที่สุดเจ้าบิสคอฟก็เข้าไปนอนคุกตลอดชีวิต โทษฐานกินเพื่อนร่วมโลกเป็นว่าเล่นไปตามระเบียบ

ไขปริศนา‘คนกินคน’ ป่วยทางจิต หรือไร้ทางเลือก

 

ทั้งนี้ หากจะกล่าวว่า“รัสเซีย”เป็นประเทศที่เต็มไปด้วย“มหากาพย์คนกินคน”ก็ว่าได้ เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิด“เหตุสะเทือนขวัญ”เช่นนี้

ไล่เรียงกันไปตั้งแต่เมื่อปี 2007 คงไม่มีชาวรัสเซียคนใดไม่รู้จักอเล็กซานเดอร์ พิคุชคินเจ้าของฉายา“ฆาตกรหมากรุก”ซึ่งมีที่มาจากความตั้งใจแต่เดิมของพิคุชคิน ที่ต้องการสังหารคนให้ได้รวมทั้งหมด 64 คน ครบตามจำนวนช่องบนกระดานหมากรุก

แต่แล้ว พิคุชคิน ก็ถูกจับกุมตัวได้หลังจากที่สังหารเหยื่อไปได้แล้วทั้ง 48 คนเท่านั้น ซึ่งพิคุชคินรับสารภาพกับเจ้าหน้าที่ตำรวจด้วยเสียงที่เรียบเฉยว่า

“การมีชีวิตโดยที่ไม่ได้ฆ่าใคร ก็เหมือนกับการมีชีวิตอยู่โดยที่ไม่กินอาหาร ผมรู้สึกเหมือนเป็นพ่อผู้ให้กำเนิดคนเหล่านั้น เพราะผมเป็นคนที่เปิดโลกให้พวกเขาก้าวไปสู่โลกแห่งความตาย”

ว่ากันว่า พิคุชคิน จะกินน้ำลายของเหยื่อที่ตัวเองฆ่า โดยให้เหตุผลว่าพิธีกรรมสังหารและซดน้ำลายเหยื่อนั้น เปรียบได้เหมือนกับ“การตกหลุมรักใครสักคน”โดยที่เราไม่สามารถห้ามใจไม่ให้รักเลยทีเดียว

ไม่รู้ว่าเรื่องราวสังหารโหดและกินเหยื่อ กลายเป็นกิจกรรมเฉพาะที่ฮอตฮิตในหมู่ชาวหมีขาวหรืออย่างไร เพราะเกิดเหตุการณ์ทำนองนี้เป็นว่าเล่นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน

ไม่ว่าจะเป็นเมื่อปี 2009 ที่ตำรวจรัสเซียสามารถจับกุมคนจรจัด 3 รายในเมืองเปียร์ม ที่ฆ่าเพื่อนในวงการจรจัด ก่อนที่จะกินเนื้อและอวัยวะของเพื่อนและนำส่วนที่เหลือไปขายที่ร้านเคบับในเมือง

ขณะที่เมื่อเดือน พ.ค. 2011 ตำรวจได้บุกเข้าจับกุมชายชาวรัสเซียได้คาหนังคาเขา ขณะกำลังโซ้ยอาหารเมนูตับคนอย่างเมามัน หลังตำรวจแกะรอยชิ้นส่วนอวัยวะมนุษย์ซึ่งถูกทิ้งเกลื่อนทั่วเมือง จนพบต้นตอ“มือชำแหละเนื้อคน”ได้เป็นผลสำเร็จ

ไขปริศนา‘คนกินคน’ ป่วยทางจิต หรือไร้ทางเลือก

 

เดบโบราห์ เชอแมน คอฟแลนแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยา ซึ่งทำการศึกษาวิจัยและวิเคราะห์ต้นตอของพฤติกรรมของ“ฆาตกรกินเนื้อคน”กล่าวว่า ภายหลังจากที่สัมภาษณ์ผู้ป่วยที่มีพฤติกรรมกินเนื้อมนุษย์ด้วยกันเอง ทั้งหมดต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า การได้แล่เนื้อมนุษย์ออกจากกระดูก เปรียบได้การถูกสนองความต้องการทางเพศ หรือเป็นการเสร็จสมอารมณ์หมายแบบไม่ต้องพึ่ง“คู่ขา”หรือ“ตัวช่วย”ใดๆ เลยทีเดียว

“การแล่เนื้อของศพที่นอนแน่นิ่งอยู่นั้น ทำให้พวกเขารู้สึกมีอำนาจเหนือผู้อื่น เพราะพวกเขาได้ทำในสิ่งที่มนุษย์น้อยคนได้ทำ”คอฟแลน กล่าวพร้อมเสริมว่า การลงมีดแล่เนื้อมนุษย์ในแต่ละครั้ง จะทำให้ผู้ป่วยรู้สึกดีขึ้นทุกครั้ง เราจึงได้เห็นว่าเหยื่อที่ถูกฆ่านั้นส่วนใหญ่จะถูกเลาะหนังและแล่เนื้อทีละน้อยจนหมดทั้งตัวอย่างช้าๆ เพื่อที่ผู้ป่วยจะได้ซึบซับความตื่นเต้นทีละน้อย

คอฟแลนกล่าวอีกว่าผู้ป่วยส่วนใหญ่ที่มีพฤติกรรมกินเนื้อมนุษย์มักเป็นคนขี้เหงาและไม่ได้คบค้าสมาคมกับใคร ผู้ป่วยจึงเลือกฆ่าเหยื่อและค่อยๆ กินเนื้อเหยื่ออย่างช้าๆ เพราะทำให้ผู้ป่วยรู้สึกว่า มีคนอยู่ด้วยตลอดเวลา โดยที่เหยื่อไม่สามารถหนีไปจากชีวิตของผู้ป่วยได้อีกต่อไป

นอกจากนี้ ผู้ป่วยมองว่าการสังหารเหยื่อเป็นเพียงส่วนหนึ่งของกระบวนการที่“ผู้ล่า”อย่างพวกเขาจำเป็นต้องทำ ซึ่งไม่ได้หมายความว่า เหยื่อได้พูดและกระทำสิ่งที่ผิดหรือขัดหูขัดตาผู้ป่วยหรืออย่างใดเลย

ผลการศึกษาพบว่า เป็นเรื่องยากที่จะวิเคราะห์ หรือคาดเดาว่าใครจะกลายเป็นฆาตกรกินคน โดย คอฟแลน สามารถบอกแต่เพียงแนวโน้มของพฤติกรรมที่สุ่มเสี่ยง เช่น พฤติกรรมการชื่นชอบการเห็นสัตว์ขนาดเล็กถูกฆ่า หรือชอบลงมือฆ่าสัตว์เหล่านั้นด้วยตัวเอง ก่อนที่จะเล่น หรือดื่มเลือดของสัตว์ ล้วนเป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงพฤติกรรมที่อาจทวีความรุนแรงขึ้นในอนาคตได้

อย่างไรก็ตาม โศกนาฏกรรมคนกินคนใช่ว่าจะเป็นฝีมือของผู้ที่มี“อาการทางจิต”เสมอไป เพราะบางครั้งกลุ่มคนที่ได้ชื่อว่า“เคยลิ้มรสเนื้อมนุษย์”อาจลงมือไปเพราะ“ไร้ทางเลือก”และเป็นส่วนหนึ่งของ“ความเชื่อ”ก็เป็นได้

ดังที่เห็นได้จากชนเผ่าอันเก่าแก่ในอินเดียที่มีพิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์ที่จำเป็นต้อง“กินเนื้อของพ่อแม่บังเกิดเกล้าของตัวเอง”หลังจากที่พ่อแม่เสียชีวิตลง เพราะถือเป็นพิธีกรรมที่แสดงถึงการให้เคารพและยกย่องบุพการีที่ทุกคนในเผ่าต้องปฏิบัติตาม ซึ่งคล้ายกับความเชื่อของการกินสัตว์ชนิดต่างๆ เพื่อที่จะได้รับเอกลักษณ์พิเศษของสัตว์เหล่านั้น เช่น การกินหัวใจของสิงโต เพราะจะได้มีจิตใจกล้าแกร่งเหมือนดังเจ้าป่า เฉกเช่นเดียวกับการกินกวาง เพราะเชื่อว่าจะสามารถวิ่งหนีศัตรูได้รวดเร็ว ขณะที่การเลือกกินสุนัขจิ้งจอก เพื่อที่จะได้มีความเจ้าเล่ห์เฉลียวฉลาดสามารถเอาชนะศัตรูได้อย่างสุนัขจิ้งจอก เป็นต้น

ขณะเดียวกันชนเผ่าโคโรไวในปาปัวนิวกินี ที่ว่ากันว่าเป็นชนเผ่าเดียวบนโลกนี้ ที่ยังคงมี“วัฒนธรรมการกินมนุษย์”อยู่ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความเชื่อของชนเผ่า โดยชนเผ่าดังกล่าวต้องเผชิญกับโรคระบาดที่พบได้ยากที่สุดในโลก ที่มีชื่อว่า กูรู (Kuru) หรือโรคหัวเราะไม่หยุด (Laughing Sickness) อันเป็นผลมาจากการรับประทานสมองมนุษย์ติดต่อกันเป็นเวลานานอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้อีกด้วย

เช่นเดียวกับโศกนาฏกรรม“กินศพ”ชื่อดังก้องโลกที่เกิดขึ้น เมื่อวันที่ 12 ต.ค. 1972ซึ่งถูกนำมาทำเป็นภาพยนตร์ที่มีชื่อว่า อะไลฟ์ (Alive) กับเรื่องราวของนักกีฬาทีมรักบี้“โอลด์ คริสเตียนส์”ของมหาวิทยาลัยสเตลลามาริส ของอุรุกวัย พร้อมครอบครัวรวม 45 คน เกิดอุบัติเหตุทางเครื่องบินครั้งร้ายแรง ขณะกำลังบินอยู่เหนือเทือกเขาแอนเดสที่มีความสูงเหนือระดับน้ำทะเล 1.03 หมื่นฟุต ซึ่งปกคลุมด้วยไปหิมะหนาทึบ

ขณะนั้นมีผู้เสียชีวิตทันที 13 คน และมีผู้บาดเจ็บสาหัสและเสียชีวิตในเวลาต่อมา จนเหลือผู้รอดชีวิตเพียง 16 คน

ท่ามกลางสภาพอากาศอันหนาวเหน็บถึงขั้นติดลบ 30 องศาเซสเซียส โดยที่หิมะมีความหนาถึง 15 เมตร ผู้รอดชีวิตทั้ง 16 คน จำเป็นต้องประทังชีวิตด้วยช็อกโกแลตที่มีจำนวนจำกัด และน้ำที่ได้จากการละลายหิมะ

จนกระทั่งเวลาล่วงเลยถึงวันที่ 9 เมื่ออาหารและน้ำหมด ความเหนื่อยล้าและหิวโหยเริ่มประดังประเดเข้ามา“ทางเลือกสุดท้าย”ที่ผู้รอดชีวิตต้องทำเพื่อการมีชีวิตรอดต่อไปคือการ“กินศพ!”

ผู้รอดชีวิตที่ความหิวบังตา จึงแยกย้ายกันไปที่“ผู้เสียชีวิต”ทั้งที่อยู่ภายในเครื่องและด้านนอก เพื่อนำเนื้อมาแล่และย่างบนแผ่นฟอยล์ประทังความหิว ขณะที่ผู้รอดชีวิตที่ไม่ยอมกินต้องเผชิญกับความหิวโหยและเสียชีวิตตามกันไปทีละคนสองคน

และในที่สุดเมื่อเวลาผ่านไป 72 วันนับจากที่เครื่องบินตก ฟอร์นานโด ปาร์ราโด และโรเบิร์ตโต คาเนสสา ซึ่งออกเดินเท้าไปขอความช่วยเหลือ ได้พบกับกลุ่มคาวบอยที่อาสาไปแจ้งทางการและส่งทีมมาช่วยเหลือผู้รอดชีวิตที่ยังอยู่บนเขาได้สำเร็จ

ภายหลังจากที่พักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล ผู้รอดชีวิตที่เหลือทั้งหมดได้สารภาพบาปต่อบาทหลวง ก่อนที่จะเปิดใจแบบหมดเปลือกด้วยความเศร้าโศก ว่า“การกินศพเพื่อน คือทางเลือกสุดท้ายของการมีชีวิตรอด ใครไม่อยู่ในสถานการณ์นั้น ไม่มีทางรู้เลยว่า เป็นการตัดสินใจที่ทรมานมากเพียงใด”

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

ข่าวล่าสุด

สยามพิวรรธน์คว้า 2 รางวัลโลก พร้อมเปิด NEXTOPIA สยามพารากอน