posttoday

อาภรณ์บอกเรื่องราว

07 สิงหาคม 2554

ความรักสวยรักงามเป็นธรรมชาติที่ถูกสร้างมาคู่กับมนุษย์ทุกผู้ทุกนาม 

ความรักสวยรักงามเป็นธรรมชาติที่ถูกสร้างมาคู่กับมนุษย์ทุกผู้ทุกนาม 

แต่จะมีอยู่มากน้อยก็ขึ้นอยู่กับอุปนิสัยส่วนตัวและสภาพแวดล้อมที่หล่อหลอมกันมา ด้วยเหตุนี้ การสวมใส่อาภรณ์ในชีวิตประจำวัน จึงไม่ได้มีประโยชน์เพียงแค่ปกปิดร่างกายหรือนุ่งห่มให้เกิดความอบอุ่นเท่านั้น แต่เป็นการแสดงให้เห็นถึงรสนิยมที่มีต่อเสื้อผ้า จนเกือบกล่าวได้ว่าวิถีความเป็นอยู่ การชื่นชมความงาม สีสันที่ชอบ ตลอดจนวัฒนธรรมและความเชื่อทางศาสนาของแต่ละชนชาติสามารถสะท้อนผ่านอาภรณ์ที่ตัดเย็บนับตั้งแต่ที่มนุษย์เรารู้จักการสวมใส่เสื้อผ้า

คำถามที่ตามมาก็คือ ชาวจีนเริ่มรู้จักสวมใส่เสื้อผ้าตั้งแต่เมื่อใด

เข็มที่ทำขึ้นจากกระดูกสัตว์หลักฐานทางโบราณคดีที่ขุดพบบริเวณปากถ้ำแถบโจวโข่วเตี้ยนชานกรุงปักกิ่งที่มีอายุราวหมื่นกว่าปีก่อน เป็นคำตอบที่ช่วยไขข้อข้องใจข้างต้นได้เป็นอย่างดี หลังจากที่บรรพบุรุษชาวจีนค่อยๆ มีวิวัฒนาการมาจากมนุษย์วานร พวกเขาก็รู้จักการนำหนังสัตว์หรือใบไม้มาปกปิดร่างกาย เรียนรู้ถึงการสร้างความอบอุ่นให้แก่ร่างกาย จึงเป็นที่มาของวัฒนธรรมเสื้อผ้าในยุคแรกเริ่ม

วัตถุโบราณที่ค้นพบบริเวณปากถ้ำแห่งนี้ประกอบด้วยเข็มที่ทำขึ้นจากกระดูกสัตว์ 1 เล่ม และเครื่องประดับที่ทำจากหิน กระดูก เปลือกหอย งาช้างที่มีร่องรอยการเย็บจำนวน 141 ชิ้น ซากวัตถุโบราณเหล่านี้แสดงให้เห็นว่ามนุษย์ในยุคหินเก่ารู้จักการตัดเย็บเสื้อผ้าด้วยวิธีง่ายๆ บนอาภรณ์ที่ทำจากหนังสัตว์แล้ว นอกจากนี้ยังค้นพบหอยธรรมชาติที่มีลวดลายสวยงาม ก้างปลาและเปลือกหอยทะเล ที่นอกจากจะนำมาทำเป็นเครื่องประดับแล้ว ยังถือเป็นการรำลึกถึงชัยชนะที่พวกเขามีต่อสัตว์ทะเลที่ล่ามาเป็นอาหารเหล่านี้อีกด้วย

อาภรณ์บอกเรื่องราว

รูปลักษณ์ของเสื้อผ้าอาภรณ์ที่ชาวจีนในแต่ละยุคสมัยสวมใส่ซึ่งมีความแตกต่างในเรื่องการเลือกใช้วัตถุดิบ การให้ความสำคัญกับสีสันต่างๆ ตลอดจนวิธีการตัดเย็บ ล้วนบอกเล่าถึงความเป็นไปของบ้านเมือง สภาพทางสังคมและชีวิตความเป็นอยู่ของคนในแต่ละยุคสมัยได้ดีไม่แพ้หลักฐานที่เป็นบันทึกลายลักษณ์อักษรแต่อย่างใด ยกตัวอย่างเช่น ยุคราชวงศ์ซาง ลักษณะชุดที่สวมใส่จะสร้างความรู้สึกน่าเกรงขาม ยุคราชวงศ์โจวที่เต็มไปด้วยปราชญ์หลากสำนัก ชุดที่สวมใส่ก็มักจะดูเป็นแบบแผน ยุคราชวงศ์ถังที่บ้านเมืองสงบสุข ราษฎรมีความเป็นอยู่ดี ชุดที่สวมใส่ก็มักเน้นที่ทรวดทรงที่มีน้ำมีนวลของหญิงสาว ฯลฯ สิ่งเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงมุมมองความงามและแนวคิดทางสังคมที่มีอิทธิพลต่อการออกแบบเสื้อผ้านั่นเอง

ตลอดระยะเวลา 2,500 ปี ที่ประเทศจีนอยู่ภายใต้การปกครองระบอบศักดินาที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขนั้น แผ่นดินจีนเคยตกอยู่ในมือของชนต่างเผ่าอย่างมองโกลและแมนจูถึง 2 ครั้ง กล่าวคือยุคราชวงศ์หยวนและยุคราชวงศ์ชิง ซึ่งในแต่ละยุคก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางรูปแบบการตัดเย็บเสื้อผ้าและทรงผมตามธรรมเนียมและคติความเชื่อของชนทั้งสองเผ่า อาภรณ์ที่สวมใส่กันในยุคทั้งสองนี้ จึงแตกต่างอย่างเห็นเด่นชัดกับอาภรณ์ของชาวจีนในยุคอื่นๆ ที่สะท้อนให้เห็นธรรมเนียมปฏิบัติและวัฒนธรรมของชนเผ่าฮั่นเป็นหลัก

ยุคราชวงศ์หยวน ชนเผ่ามองโกลนิยมทำผมเป็นจะงอยที่มีรูปลักษณ์คล้ายลูกท้อไว้บริเวณหน้าผาก ขณะที่ผมส่วนที่เหลือจะถักเป็นเปีย 2 ข้าง แต่ละข้างจะพันไว้หลังศีรษะแนบไว้ด้านหลังใบหู สวมหมวกทรงงอบ โดยมากมักใส่กระโปรงสุ่มทรงสอบที่ค่อนข้างสั้นและรัดตัว มีจีบเสื้อรอบๆ บริเวณเอว ถือเป็นชุดที่เหมาะแก่การขึ้นและลงม้าเวลาเดินทาง

ยุคราชวงศ์ชิง เครื่องแต่งกายชายจะนิยมสวมใส่ชุดกระโปรงยาวที่มีเสื้อชั้นนอกสวมทับ ความยาวของเสื้อชั้นนอกอยู่ในระดับเหนือสะดือ ขณะที่หญิงแมนจูจะสวมใส่ชุดกระโปรงยาวหรือที่เรียกว่า กี่เพ้าเป็นหลัก

ความเปลี่ยนแปลงของอาภรณ์จีนที่เห็นเด่นชัดมากคงเป็นช่วงหลังการปฏิวัติซินไฮ่ในปี ค.ศ. 1911 ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการล้มล้างระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์อย่างถอนรากถอนโคน เสื้อผ้าสไตล์ ดร.ซุนยัดเซ็น กลายเป็นกระแสการสวมเสื้อผ้าแบบใหม่ของชาวจีนยุคนั้น

อาภรณ์บอกเรื่องราว

เสื้อผ้าแบบนี้ถือเป็นชนิดที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางในแวดวงเสื้อผ้าสมัยใหม่ของจีน โดยด้านบนและด้านล่างของเสื้อทั้งสองข้างจะมีกระเป๋าที่มีฝาปิดซึ่งกลัดกระดุมไว้ ส่วนช่วงล่างจะเป็นกางเกงสแล็กส์ ถือเป็นชุดที่แพร่หลายอย่างมากในช่วงหลังปฏิวัติซินไฮ่ อันเป็นผลจากการที่ ดร.ซุนยัดเซ็น รักษาการประธานาธิดีจีนในขณะนั้นนิยมสวมใส่นั่นเอง แม้แต่ประธานาธิบดี เหมาเจอตง ของจีนก็ชื่นชอบชุดสไตล์นี้เช่นกัน มีการรณรงค์ให้ใส่ชุดแบบนี้ในวงกว้าง ถึงกับทำให้ชาวต่างชาติบางกลุ่มเปลี่ยนชื่อเรียกเสื้อผ้าสไตล์นี้ว่าเป็น “เสื้อผ้าสไตล์เหมา” ก็มี

เสื้อสไตล์ซุนยัดเซ็นนี้สามารถใช้ได้ในหลายวาระ โดยแต่ละโอกาสก็มีสีสันที่แตกต่างกันไป หากสวมใส่ในงานที่เป็นทางการมักเป็นสีเข้ม ขณะที่สีอ่อนสดใสสามารถสวมใส่ในงานรื่นเริง จุดเด่นของเสื้อสไตล์นี้อยู่ที่การสวมใส่ง่าย ให้ความรู้สึกเบาสบาย แต่ก็มีข้อด้อยตรงที่ปกเสื้อค่อนข้างแนบคอ ทำให้รู้สึกอึดอัดบริเวณดังกล่าว

เล่ากันว่า เสื้อผ้าสไตล์ดังกล่าวเป็นการดัดแปลงมาจากชุดทหาร ในปี ค.ศ.1919 ขณะที่ ดร.ซุนยัดเซ็นพำนักอยู่ในเซี่ยงไฮ้ ท่านนำชุดเครื่องแบบของทหารบกไปให้ร้านเฮนรี่ช่วยดัดแปลงเป็นชุดลำลอง หลังจากที่แปลงโฉมแล้ว ชุดดังกล่าวก็ยังมีรูปแบบของชุดทหารติดอยู่บ้าง แต่ดูแล้วก็ไม่มีภาพของเสื้อชาวจีนในยุคที่ผ่านมาและก็ไม่ใช่เสื้อแบบตะวันตก ดังนั้น เจ้าของร้านจึงนำชื่อท่านมาใช้เป็นชื่อเรียกของชุดที่ดัดแปลงขึ้นมาใหม่นี้ เนื่องจากท่านเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงไปทั่วโลก ชุดดังกล่าวจึงกลายเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลายในเวลาอันรวดเร็ว

ในขณะที่กี่เพ้าซึ่งนิยมกันอย่างแพร่หลายนับแต่ยุคราชวงศ์ชิงค่อยๆ ลดบทบาทลง โดยมีกระโปรงแซ็กที่ได้รับอิทธิพลการตัดเย็บจากตะวันตกเข้ามาแทนที่และมีพัฒนาการจากกระโปรงยาวมาเป็นกระโปรงสั้น วงการเสื้อผ้าของจีนก็เริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นเรื่อยๆ ทั้งนี้ เริ่มปรากฏเสื้อผ้าที่สามารถสวมใส่ได้ทั้งเพศชายและเพศหญิงอย่างเสื้อยืดกางเกงยีนส์ อิสตรีเริ่มนิยมการสวมใส่เสื้อผ้าที่มีลวดลายสัตว์มากขึ้นตามลำดับ รูปแบบเสื้อผ้าของชาวจีนเกิดการผสมผสานกับนานาประเทศ กลายเป็นความหลากหลายของตลาดเสื้อผ้าที่มีให้เลือกกันจนละลานตา

แน่นอนว่า ยุคสมัยที่เปลี่ยนไปย่อมส่งผลให้อาภรณ์แปรเปลี่ยนจากปัจจัยจำเป็นในชีวิตมาเป็นเครื่องประดับกายที่มีความสำคัญต่อการดำรงชีวิตมากขึ้นทุกวัน รูปแบบของเสื้อผ้าที่ชาวจีนในปัจจุบันสวมใส่ แทบจะไม่เห็นเค้าโครงของชุดจีนแบบดั้งเดิมเท่าใดนัก ดังนั้น เสื้อผ้าที่ชาวจีนโบราณในแต่ละยุคสมัยสวมใส่กัน จึงกลายเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่มีคุณค่าต่อการศึกษาประวัติศาสตร์ความเป็นมาของชาวจีนและเป็นของล้ำค่าที่เป็นกระจกสะท้อนความเป็นจีนได้ดีอย่างหนึ่ง  

 

ข่าวล่าสุด

วปอ.68 มอบตาข่ายป้องกันโดรน ทิ้งระเบิด และสิ่งของ ช่วยทหารชายแดนภาค 2