ข้อมูลเกี่ยวกับวัคซีนฝีดาษลิงในปัจจุบัน โลกพร้อมรับมือแค่ไหน
ข่าวเกี่ยวกับฝีดาษลิงเริ่มร้ายแรง จากการแพร่ระบาดเป็นวงกว้างในประเทศแถบตะวันตก สร้างความหวาดกลัวและข้อสงสัยแก่ผู้คนไปพร้อมกันโดยเฉพาะประเด็นเรื่องวัคซีน วันนี้เราจะมาอธิบายรายละเอียดของวัคซีน ทั้งที่ใช้งานในปัจจุบัน และผลจากวัคซีนในอดีตว่าเป็นเช่นไร
ฝีดาษลิง โรคระบาดใหม่ที่เริ่มสร้างความกังวลแก่ผู้คน ภายหลังการแพร่ระบาดเป็นวงกว้างที่แม้จะไม่อาจเทียบเท่าโควิดแต่เริ่มทวีความร้ายแรง ปัจจุบันมีการระบาดไปแล้วกว่า 80 ประเทศทั่วโลก จนทาง องค์การอนามัยโลก(WHO) ต้องประกาศให้ฝีดาษลิงเป็น ภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุข
ข้อสงสัยเกี่ยวกับฝีดาษลิงกำลังกระจายเป็นวงกว้าง เมื่อประเทศไทยเองก็เริ่มตรวจพบผู้ติดเชื้อภายในประเทศ หลายคนพากังวิตกนอกจากโควิดที่ยังวนเวียนระบาดไม่เลิกยังต้องระวังฝีดาษลิงเพิ่ม อีกทั้งคำถามที่สร้างความสงสัยให้ผู้คนยิ่งกว่าคือ ประเด็นเกี่ยวกับวัคซีนซึ่งยังมีความคลุมเครืออยู่สักหน่อย วันนี้เราจึงจะพาไปทำความเข้าใจกันเพิ่มเติม
แต่ก่อนอื่นคงต้องย้อนมาพูดถึงเรื่องฝีดาษลิงกันสักนิดเพื่อเพิ่มความเข้าใจและไขข้อสงสัยบางประการในปัจจุบัน
ฝีดาษลิงกับความเข้าใจผิดเกี่ยวกับโรคชนิดนี้
ฝีดาษลิง หรือ Monkey Pox มีพื้นเพมาจากเชื้อใกล้เคียงกับ ไข้ทรพิษ หรือ Small pox ก็จริง แต่เป็นเชื้อโรคคนละชนิด โดยเชื้อชนิดนี้มีความรุนแรงน้อยกว่าฝีดาษที่เรารู้จักมาก อีกทั้งการแพร่ระบาดยังพบมากในหมู่สัตว์ตระกูลฟันแทะไม่ใช่ลิง โดยมีต้นตอการแพร่ระบาดเริ่มต้นจากแอฟริกา
หลายท่านอาจสังเกตเห็นแล้วว่าผู้ติดเชื้อส่วนมากล้วนเกิดจากการมีเพศสัมพันธ์ อาจทำให้เกิดข้อสงสัยว่าการติดเชื้อชนิดนี้เกิดจากการมีเพศสัมพันธ์เป็นหลักหรือไม่ คำตอบคือไม่ใช่ แม้ผู้ติดเชื้อในปัจจุบันจะเกิดขึ้นโดยการมีเพศสัมพันธ์ แต่โรคนี้สามารถแพร่ระบาดได้ผ่านสารคัดหลั่งของผู้ป่วย ทั้งจากเลือด, น้ำเหลือง, น้ำลาย ไปจนถึงสารชนิดอื่นๆ
นั่นทำให้การมีเพศสัมพันธ์แม้จะทำให้เกิดการแพร่กระจายหรือได้รับเชื้อแต่ไม่ใช่สาเหตุหลัก ถุงยางอนามัยจึงไม่สามารถป้องกันโรคชนิดนี้ได้ เพราะแม้จะไม่มีเพศสัมพันธ์ แต่เมื่อใกล้ชิดกับผู้ป่วยจนสัมผัสสารคัดหลั่งหรือของเหลวที่ไหลออกมาจากฝีตามร่างกาย ก็มีความเป็นไปได้ในการรับเชื้อจนเกิดอาการป่วยขึ้นมาเช่นกัน
อัตราการเสียชีวิตจากฝีดาษอยู่ในระดับไม่มาก แม้มีการแพร่ระบาดแล้วมากกว่า 24,000 รายทั่วโลก แต่มีผู้เสียชีวิตไม่ถึง 10 คน แต่โรคนี้ยังถือเป็นอันตรายต่อกลุ่มเสี่ยงประเภทเด็ก สตรีมีครรภ์ และผู้มีโรคประจำตัว อีกทั้งเมื่อคำนึงถึงการแพร่ระบาดในสัตว์ จึงอาจทำให้เกิดการระบาดเป็นวงกว้างแบบเดียวกับกาฬโรคในอดีตได้เช่นกัน
เราจึงไม่อาจละเลยหรือปล่อยปละฝีดาษลิงได้ เพราะเมื่อมันเกิดการระบาดวงกว้างก็สร้างความเสียหายไม่แพ้กัน
ปัจจุบันวัคซีนป้องกันฝีดาษลิงพร้อมแค่ไหน?
เมื่อเกิดการแพร่ระบาดของเชื้อโรคติดต่อขึ้นมาสิ่งที่ผู้คนถามหาย่อมเป็นวัคซีน ปัจจุบันหลายประเทศเริ่มมีการฉีดวัคซีนให้แก่ประชาชน โดยเฉพาะในพื้นที่มีการระบาดมาก เช่น สหรัฐฯที่มีผู้ติดเชื้อแล้วมากกว่า 6,000 เคส รวมถึงในอังกฤษที่มีผู้ติดเชื้อไปแล้วมากกว่า 2,400 คน
ปัจจุบันวัคซีนที่ใช้ในการป้องกันฝีดาษลิงมี 3 ชนิด ได้แก่
1.Imvamune / Jynneos
ถือเป็นวัคซีนชนิดหลักและชนิดเดียวที่ได้รับการอนุญาตจาก องค์การอาหารและยา(FDA) ในการรับมือโรคฝีดาษลิงโดยเฉพาะ ถือเป็นวัคซีนที่ใช้งานกันแพร่หลายได้รับการฉีดให้กับประชาชนกลุ่มเสี่ยงทั้งในสหรัฐฯ, อังกฤษ, แคนาดา และหลายประเทศในสหภาพยุโรป
คุณสมบัติโดดเด่นของวัคซีนชนิดนี้คือ วัคซีนนี้เป็นวัคซีนรุ่นที่ 3 ถูกสร้างขึ้นด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ ถือเป็นวัคซีนที่สร้างผลข้างเคียงให้แก่ผู้ฉีดน้อยกว่า ด้วยรูปแบบการฉีดใต้ผิวหนังแบบเดียวกับการฉีดวัคซีนทั่วไป ทำให้เกิดผลข้างเคียงกับร่างกายไม่มาก และสามารถกลับมาเป็นปกติภายใน 2 – 3 วัน
2.ACAM2000
อีกหนึ่งวัคซีนที่ได้รับอนุญาตให้ใช้งานในสหรัฐฯ เป็นวัคซีนอีกชนิดที่ถูกพูดถึงภายในองค์กรสาธารณสุขแต่ไม่ได้รับความนิยมเท่า Jynneos สาเหตุมาจากวัคซีนชนิดนี้เป็นวัคซีนใช้ในการป้องกันโรคฝีดาษ ไม่ได้ออกแบบมาเพื่อฝีดาษลิงโดยเฉพาะ
อีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้วัคซีนชนิดนี้ไม่เป็นที่นิยมเท่าคือ เทคโนโลยีในการผลิตวัคซีนเก่ากว่า ACAM2000 เมื่อฉีดเข้าสู่ร่างกาย จะทำให้ร่างกายเกิดปฏิกิริยาและตุ่มหนองบริเวณที่รับเชื้อ คล้ายกับที่เกิดในวัคซีนรุ่นเก่า ทำให้เกิดบาดแผลบริเวณผิวหนังที่ได้รับวัคซีน และอาจเป็นอันตรายกับผู้ที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอ ด้วยเชื้อที่ฉีดเข้าร่างกายยังมีคุณสมบัติก่อโรคได้แม้จะเล็กน้อย จึงต้องใช้งานอย่างระมัดระวังเป็นพิเศษ
3.LC16m8
แตกต่างจากอีกสองชนิดซึ่งถูกพัฒนาในสหรัฐฯ LC16m8 เป็นวัคซีนที่ถูกพัฒนาโดยประเทศญี่ปุ่น เกิดจากการปรับปรุงวัคซีนรุ่นที่เคยใช้งานในอดีตแต่ทำให้อ่อนเชื้อลง ปัจจุบันมีสำรองการใช้งานอยู่มากกว่า 50 ล้านโดส และพร้อมจะนำมาฉีดให้กับประชาชนในประเทศอย่างเพียงพอ
จุดเด่นของ LC16m8 คือผลข้างเคียงในการฉีดที่น้อยกว่า ด้วยการนำมาปรับปรุงช่วยทำให้ตัววัคซีนมีความปลอดภัยในการใช้งานมากขึ้น แม้จะยังเหลือตุ่มหนองภายหลังจากการฉีดจากวัคซีนที่ทำปฏิกิริยา แต่ถือเป็นวัคซีนที่มีประสิทธิภาพใกล้เคียง Jynneos มากทีเดียว
ทำไมจึงมีการนำวัคซีนฝีดาษมาใช้ในการยับยั้งโรคฝีดาษลิง?
หลายท่านอาจสงสัยกันเล็กน้อยว่าเหตุใดในเมื่อเราป้องกันโรคฝีดาษลิง จึงได้มีการเคาะฝุ่นวัคซีนฝีดาษในอดีตกลับมาอีกครั้ง อย่างที่บอกไปก่อนหน้าเชื้อฝีดาษลิงมีความใกล้เคียงกับฝีดาษมาก ข้อมูลจากนักไวรัสวิทยาระบุว่า เชื้อไวรัสฝีดาษและฝีดาษลิงมีความใกล้เคียงกันถึง 85% วัคซีนฝีดาษจึงมีคุณสมบัติในการป้องกันฝีดาษลิงสูงเช่นกัน
อีกทั้งเมื่อประเมินจากฝีดาษลิงว่าถูกค้นพบครั้งแรกในปี 1958 ติดเชื้อในมนุษย์ครั้งแรกช่วงปี 1970 แต่กลับไม่มีการแพร่ระบาดวงกว้างนานหลายสิบปีจนเมื่อไม่นานมานี้ นักไวรัสวิทยาจึงคาดการณ์ว่าน่าจะเกิดจากการฉีดวัคซีนฝีดาษวงกว้างในสมัยนั้นน่าช่วยป้องกันฝีดาษลิงได้เช่นกัน และเมื่อหลายประเทศเลิกฉีดให้กับเด็กตั้งแต่ช่วงปี 1980 ภูมิคุ้มกันหมู่จึงทยอยลดลง นำมาสู่การแพร่ระบาดในปัจจุบัน
ข้อมูลจากองค์การอนามัยโลกระบุว่า การฉีดวัคซีนป้องกันฝีดาษ มีประสิทธิภาพในการป้องกันฝีดาษลิงได้ราว 85% เป็นข้อมูลที่ได้จากทศวรรษ 1980 เมื่อฝีดาษลิงแพร่ระบาดตครั้งแรกในประเทศคองโก สอดคล้องกับผลการทดสอบในสัตว์ที่มีประสิทธิภาพป้องกันอยู่ราว 80 – 100% อีกทั้งจากการเก็บข้อมูลภูมิคุ้มกันของผู้ได้รับวัคซีนพบว่า หลังได้รับการฉีด 15 ปี ภูมิคุ้มกันยังคงทำงานต่อเนื่องถึง 60% และภูมิคุ้มกันน่าจะมีครึ่งชีวิตอยู่ที่ 90 ปี สำหรับผู้เคยได้รับวัคซีนฝีดาษจึงไม่น่าห่วงนัก
นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมในบรรดากลุ่มเสี่ยงของโรคฝีดาษลิง จึงไม่ได้นับรวมผู้สูงอายุทั้งหมดเข้าไปด้วย เพราะหากไม่มีโรคประจำตัวหรือภูมิคุ้มกันบกพร่อง ผู้สูงอายุที่เคยได้รับการฉีดวัคซีนฝีดาษในอดีต น่าจะมีความเสี่ยงน้อยกว่าคนรุ่นใหม่ที่ไม่เคยได้รับวัคซีนเสียอีก
การเตรียมพร้อมรับมือและจัดหาวัคซีนป้องกันฝีดาษลิงในประเทศไทย
ถึงตรงนี้หลายท่านอาจสงสัยว่าในเมื่อวัคซีนฝีดาษสามารถนำมาใช้ได้ อีกทั้งไทยเองในอดีตก็เคยใช้งานวัคซีนฝีดาษเป็นเรื่องปกติ เหตุใดจึงไม่ทำการผลิตวัควีนออกมาแจกจ่ายเตรียมความพร้อมไว้ล่วงหน้า ในเมื่อประเทศไทยเองก็มีการประกาศว่าเก็บตัวอย่างวัคซีนชนิดนี้ไว้เช่นกัน
น่าเสียดายวัคซีนที่เก็บไว้กับไทยและอีกหลายประเทศอยู่ในรูปแบบแห้งหรือผง เพื่อให้สามารถนำไปเก็บรักษาได้เป็นระยะเวลายาวนานโดยไม่สูญเสียคุณสมบัติ แน่นอนมันถูกเตรียมพร้อมไว้ใช้สำหรับการแพร่ระบาดของโรคเดิมในอนาคตแบบตอนนี้ แต่การจัดเตรียมวัคซีนและนำเข้าสู่ขั้นตอนการผลิตต้องอาศัยเวลานานหลายเดือน จึงอาจเกิดการขาดแคลนวัคซีนได้
ด้วยเหตุนี้หลายประเทศจึงเริ่มทยอยจัดซื้อวัคซีนป้องกันฝีดาษลิงมาไว้บ้าง เช่นเดียวกับประเทศไทยที่ตัดสินใจนำเข้าวัคซีนรุ่น 3 เข้ามา 1,000 โดส เตรียมนำมาใช้งานกับเจ้าหน้าที่ด่านหน้า เพื่อป้องกันการติดเชื้อและแพร่ระบาด แต่ปัจจุบันกรมควบคุมโรคยังมีความเห็นว่า อาจไม่ได้จำเป็นต้องฉีดวัคซีนให้แก่คนไทยทุกคน เพราะโรคนี้ไม่รุนแรงนัก
อย่างไรก็ตามทางกรมควบคุมโรคเองก็ได้ออกมาตรการรองรับดูแลผู้ป่วยต้องสงสัย และขั้นตอนในการดูแลผู้ป่วยติดเชื้อไว้แล้ว โดยจะมีการเตรียมความพร้อมห้องปฏิบัติการ และศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ ให้เตรียมพร้อมในการตรวจหาเชื้อด้วยวิธี RT-PCR แล้วรายงานผลกลับมาภายใน 24 ชั่วโมง รวมถึงบุคลากรก็ต้องสวมชุด PPE อย่างเคร่งครัด
ทั้งหมดคือข้อมูลของโรคและวัคซีนฝีดาษลิงในปัจจุบัน คงช่วยให้ผู้อ่านทำความเข้าใจบรรเทาความหวั่นวิตกลงได้บ้างว่าโรคนี้ไม่ได้ร้ายแรงอย่างที่คิด ในส่วนมาตรการรับมือนอกจากรอการจัดหาวัคซีนและยารักษาของภาครัฐ อีกสิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันคือการระมัดระวังตัว ทั้งสำหรับผู้ที่เคยและไม่เคยรับวัคซีนฝีดาษมา ล้วนมีความเสี่ยงในการติดเชื้อแทบทั้งสิ้น
เพราะมันคงไม่สนุกนักหากวันดีคืนดีเราเกิดมีผื่นหรือตุ่มขึ้นทั่วทั้งร่างกายจากการติดเชื้อเข้าจริงๆ
ที่มา
https://www.technologyreview.com/2022/08/03/1056649/everything-know-monkeypox-vaccines/
https://next.nationtv.tv/innovation/1306
https://www.thebangkokinsight.com/news/politics-general/general/917039/
https://www.cdc.gov/smallpox/clinicians/vaccines.html
https://www.praram9.com/monkeypox-virus/
https://www.who.int/news-room/fact-sheets/detail/monkeypox
https://health.kapook.com/view256057.html
https://www.hfocus.org/content/2022/08/25664
https://www.technologyreview.com/2022/08/03/1056649/everything-know-monkeypox-vaccines/


