“ณรงค์” ฟันธงอนาคตการเมืองไทยมีแต่“ฟุบ”จาก 3 ภัยคุกคามใหม่
การเมืองวิปริตผิดเพี้ยนขัดแย้งรุนแรงถึงขนาดเย้ยฟ้าท้าดิน ซ้ำร้ายผู้มีอำนาจไม่เข้าใจสถานการณ์ดุลอำนาจโลก สงครามการค้าจีน – สหรัฐฯ
การเมืองวิปริตผิดเพี้ยนขัดแย้งรุนแรงถึงขนาดเย้ยฟ้าท้าดิน ซ้ำร้ายผู้มีอำนาจไม่เข้าใจสถานการณ์ดุลอำนาจโลก สงครามการค้าจีน – สหรัฐฯ
30 มิ.ย.62 รศ.ณรงค์ เพ็ชรประเสริฐ คณบดีสถาบันเศรษศาสตร์ วิทยาลัยรัฐศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ และโลกาภิวัตน์ มหาวิทยาลัยรังสิต กล่าวปาฐกถาสถานการณ์เศรษฐกิจ หัวข้อ “การเมืองจะเฟื่องหรือฟุบ?” ว่าประเทศไทยกำลังเผชิญวิกฤตเศรษฐกิจและการเมือง 3 ประการ คือ 1.ความปั่นป่วนทางสากลระหว่างจีนกับสหรัฐอเมริกาที่กำลังทำสงครามทางการค้า 2.การปฏิวัติเทคโนโลยีดิจิทัลจะทำให้ชนชั้นกรรมาชีพสลายไป และ 3.การเมืองวิปริตผิดเพี้ยน หรือ รัฐาธิปัตย์ตวัดลิ้น โดยความปั่นป่วนในสากลเป็นการช่วงชิงความเป็นเจ้าโลกระหว่าง “จีน”กับ “สหรัฐฯ”
ขณะที่ความขัดแย้งภายในประเทศไทยเกิดความรุนแรงเชิงระบบแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ถึงขนาดเย้ยฟ้าท้าดิน หากเกิดวิกฤตจริงๆ จะแก้ยากอย่างยิ่ง เพราะไทยอยู่บริเวณหัวหาด หรือ สปริงบอร์ด ที่เป็นทางผ่านทั้งจีน และ สหรัฐฯ ที่ต่างต้องการเข้ามามีอำนาจเหนือ เพราะหากประเทศมหาอำนาจเข้ามาแทรกแซงสถานการณ์ความขัดแย้งภายในจริงจะจบยาก ขณะที่ระบบสถาบันทั่วโลกถูกล้มด้วย 2 ปัจจัย คือ ประเทศมหาอำนาจกับกองทัพเท่านั้น
รศ.ณรงค์ กล่าวว่า วิกฤตประการแรก ปัจจุบัน 2 ประเทศมหาอำนาจระหว่าง จีน กับ สหรัฐฯ กำลังทำสงครามทางการเงิน กล่าวคือสหรัฐฯ พยายามสร้างระบบการเงินดิจิทัลออกมาใหม่ คือ Libra ที่ก่อตั้งโดย Facebook ที่มีสมาชิกกว่า 2 พันล้านราย แม้ตอนนี้สกุลเงิน Libra ยังซื้อขายสินค้าและบริการได้จริง แต่สหรัฐฯพยายามรับประกันว่าจะสามารถใช้ได้ในอนาคตโดยเงินสกุลท้องถิ่นของทุกประเทศเข้ามาค้ำประกันเหมือนใช้ “ทองคำ” หรือ “เงินสกุลท้องถิ่น” มาค้ำประกันได้ พร้อมกับดึงพันธมิตร 27 องค์กรทางการค้าเข้ามาร่วม แต่ที่น่าสังเกต คือ ไม่มีสถาบันการเงินใดร่วม โดยสหรัฐฯ ต้องการให้เงินดิจิทัล Libra เข้ามาเป็น “ตัวช่วยสกุลเงินดอล์ล่า” ที่กำลังล้มสลาย เพราะ “เงินหยวน” เข้ามามีอิทธิพลต่อระบบเศรษฐกิจการค้าและการเงินของโลก หากสหรัฐฯทำได้สำเร็จสหรัฐฯ จะครองอำนาจการเงินเหมือนเดิม จากเดิมเงินที่เคยมีอิทธิพลสูงในระบบ “ธนาคาร” จากนี้ไปจะมากองอยู่ที่ “Big Data” หรือ “Facebook” โดยสหรัฐ และยักษ์ใหญ่ทางธุรกิจด้านเทคโนโลยี หรือ “Tech Firm” ของสหรัฐฯ ถือเป็นการยึดอำนาจซื้อของโลก สิ่งที่จะตามมาจะเกิดปรากฎการณ์ตกงานจำนวนมหาศาลถือเป็นภัยคุกคามใหม่ทางเศรษฐกิจโลก
รศ.ณรงค์ กล่าวอีกว่า การค้าโดยตรงที่ไม่ใช่เงินกำลังรุนแรงมาก จึงเป็นเหตุผลให้สหรัฐฯทำสงครามการค้ากับจีน ดังนั้นเมื่อสินค้าจีนส่งออกไปประเทศสหรัฐฯ ไม่ได้สินค้าในสต็อกของจีนที่มีจำนวนมหาศาล จีนจึงต้องนำสินค้าเหล่านั้นมาบุกหรือขายในเมืองไทยมากขึ้นเรื่อยๆ สิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมา คือ “อุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดเล็ก” หรือ “เอสเอ็มอีจีน” จะบุกเข้ามาไทย เช่น สินค้าสิ่งทอ ตลาดผักผลไม้ หรือ สินค้าเกษตรและเทคโนโลยีต่างๆเพราะจีนต้องการรักษาอำนาจทางเศรษฐกิจด้านการส่งออกเอาไว้
“เมื่อจีนเจอปัญหาถูกสกัดการเติบโตทางเศรษฐกิจ จึงทำให้ จีดีพี จีน ลดลง เหลือ 6% จากเดิมเคยโต 8-10% ย่อมทำให้รายได้คนจีนลดลง แน่นอนเมื่อรายได้จีนลดลง นักท่องเที่ยวจีนจะมาเที่ยวไทยลดลงไปด้วย ย่อมส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจการท่องเที่ยวไทยอย่างแน่นอน” ณรงค์ กล่าว
นอกจากนี้ ผลกระทบต่อ “ห่วงโซ่การผลิต” อุตสาหกรรมไทยที่เคยส่งวัตถุดิบไปยังประเทศจีน และ จีนส่งสินค้าสำเร็จมาไทยย่อมได้รับผลกระทบไปด้วย โดยเฉพาะธุรกิจเอสเอ็มอีจีน ย่อมต้องดิ้นรนต่อสู้เพื่อผลิตและจำหน่ายสินค้า จึงวิ่งไปลงทุนใน 3 ประเทศแทน คือ เวียดนาม ไทย และ มาเลเซีย แม้ว่าการลงทุนจะดีแต่ถามว่า “เอสเอ็มอีไทย” จะแข่งกับ “เอสเอ็มอีจีน”ได้หรือไม่ ? นี่คือปัญหาใหญ่ เพราะเชื่อว่าเอสเอ็มอีไทยสู้จีนไม่ได้เพราะจีนเทคโนโลยีก้าวหน้า ดังนั้นอนาคตธุรกิจเอสเอ็มอีจีนจะเข้ามาลงทุนในไทยมากขึ้นเรื่อยๆเพื่อส่งออกสินค้าที่ผลิตในไทย หรือ Made in Thailand ไปสหรัฐฯ หรือ ประเทศอื่นๆทั่วโลกได้
“ปัญหานี้ไม่มีฝ่ายเศรษฐกิจรัฐบาลพูดเลย เพราะครึ่งหนึ่งของจีดีพี มาจากการบริโภคของประชาชน แต่รัฐบาลกลับไปมุ่งส่งเสริมการลงทุน หรือ โครงการลงทุน อีอีซี โดยไม่เคยคิดว่าตัวหลักในการขับเคลื่อนจีดีพี คือ รายได้ในกระเป๋าคน เพราะถ้ารัฐบาลไม่สามารถทำให้เงินในกระเป๋าคนเพิ่มขึ้นมาได้ เศรษฐกิจจะโตได้อย่างไร” ณรงค์ กล่าว
รศ.ณรงค์ กล่าวว่าเวลามองภาพเศรษฐกิจต้องมองในรายละเอียดไม่ควรเชื่อแต่ผู้นำประเทศ เพราะทั่วโลกไม่มีประเทศใดพึ่งตลาดการส่งออก ทุกประเทศพึ่งตลาดในประเทศมากขึ้น กล่าวง่ายๆ ลดการนำเข้า มุ่งส่งเสริมการผลิตในประเทศเพื่อให้ “ตลาดภายในเติบโต” จึงเกิดความคิดรักษาตลาดตัวเอง หรือ ชาตินิยม หรือ กีดกันทางการค้าที่เห็นกันอยู่ในตอนนี้ อย่าง “เศรษฐกิจมหาอำนาจอย่างจีน” มีแต่จะเลิกพึ่งพาตลาดส่งออก ลดการนำเข้า และเร่งสร้างความได้เปรียบของกำลังแรงงานที่มีมาก ความก้าวหน้าเทคโนโลยีที่มีต้นทุนราคาถูก เช่น อุปกรณ์เกษตรราคาถูกมากๆแม้เป็นเทคโนโลยีทันสมัย จึงทำให้ต้นทุนการเกษตรจีนจึงต่ำมากๆ ขณะที่สินค้าเกษตรไทยกลับราคาสูงกว่ามากแล้วแบบนี้จะแข่งขันกันได้อย่างไร
รศ.ณรงค์ กล่าวว่าวิกฤตประการที่ 2 คือ “การเมืองวิปริตผิดเพี้ยน” ที่อยู่ในภาวะ Animal Farm หรือ คอกสัตว์แห่งชาติ คือ เป็น “รัฐาธิปัตย์ตวัดลิ้น” เพราะเราสร้างอำนาจรัฐด้วยการประฌามพรรคการเมือง แต่คนที่เราด่าส่วนใหญ่ไปกองอยู่กับผู้มีอำนาจ หรือ ความขัดแย้งทำร้ายชาติ แต่คนที่ครองอำนาจรัฐอยู่กลับเป็นคนก่อความขัดแย้งเสียเอง หรือ เราด่าประชานิยม แต่ภาครัฐปัจจุบันก็ใช้ประชานิยมเหมือนกัน หรือ การใช้ความรุนแรงมาเอาชนะกันทางการเมือง โดย “ไร้จิตอารยะ” ที่สำคัญ คือ รัฐาธิปัตย์ อหังกาถึงขั้นเย้ยฟ้าท้าดินโดย ไม่กลัวอำนาจฟ้าลิขิต จึงเป็นเรื่องที่น่าคิด เมื่อใดก็ตามฟ้าพิโรธดินโกรธเกรี้ยว เหตุการณ์วิกฤตพลิกฟ้าพลิกแผ่นดินก็อาจจะเกิดขึ้น ย่อมจะเปิดทางให้มหาอำนาจเข้ามา จึงอยากยกเหตุการณ์ในอดีต ก่อนเกิดเหตุการณ์ 14 ตุลา ในทางสากลเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ สงครามอาหรับขณะที่สถานการณ์ภายในประเทศเกิดการต่อต้านเผด็จการเรียกร้องรัฐธรรมนูญ ดังนั้นก่อนเกิดเหตุมีข่าวลือต่อสถาบันต่างๆมากมาย และภายในประเทศเกิดการเรียกร้องต่างๆ ขบวนการชาวนาชาวไร่ นักกิจกรรมถูกฆ่า หรือ กระบวนการเร่งความขัดแย้งซ้าย – ขวา ตัวเร่งไม่ใช่นักศึกษา แต่มาจากการจัดการของผู้มีอำนาจจึงเกิดเหตุการณ์ การนองเลือดในสังคมไทยไม่มีทางห่างหายอย่างแน่นอน
“ความอยู่รอดของชาติ คือ ความอยู่รอดของคนทุกคน สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ทุนยุโรปที่ลงทุนในไทย หนีกลับบ้านหมด จึงเปิดโอกาสให้ทุนจีนเข้ามา เพราะจีนยุคนั้นเป็นลูกจ้างของคนยุโรป แต่หากเกิดสงครามในภูมิภาคนี้ ธุรกิจญี่ปุ่น สหรัฐฯ จะกลับบ้านหมด ส่วนจีน อะไรทำได้ทำเองทุกกระบวนการผลิต ต่างจากประเทศไทยพึ่งจมูกคนอื่นๆหายใจ นับแต่ปี 2501 ถึงปัจจุบันไทยยังพึ่งพาทุนต่างชาติหมด เชื่อเถอะไม่มีชาติไหนรักประเทศไทยเท่าคนไทย” รศ.ณรงค์ กล่าว
รศ.ณรงค์ กล่าวว่าสถานการณ์เศรษฐกิจไทย กำลังประสบปัญหากำลังแรงงาน กล่าวคือกำลังแรงงานไทยตัวเลขการเกิดน้อยลง จึงทำให้กำลังแรงงานที่จะเข้ามาทำงานในระบบเศรษฐกิจย่อมน้อยลงไปด้วย ทำให้ประเทศไทยต้องพึ่งกำลังแรงงานต่างด้าว ย่อมทำให้เงินที่เคยหมุนเวียนในเศรษฐกิจจากแรงงานต่างด้าว เมียนมา ลาว กัมพูชาส่งเงินกลับประเทศจึงทำให้เงินไหลออกนับแสนล้านบาทต่อปี ขณะที่บริษัทต่างชาติมาลงทุนกลับปรากฏว่า ผู้ส่งออกของไทยเอง ไม่ได้นำเงินกลับมาทั้งหมด เช่น ขายของได้ 100 บาท นำเงินกลับประเทศเพียง 50 บาท ที่เหลือส่งคืนบริษัทแม่ หรือไม่ก็ฝากเงินในต่างประเทศเป็นเงินต่างชาติ ไม่นำกลับมาแลกเปลี่ยนเป็นเงินบาทไทย ดังนั้นเงินที่เข้าประเทศจริงๆ ไม่ได้มากเท่ากับยอดการส่งออก จึงไม่ใช่กำลังซื้อที่แท้จริง จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้กำลังซื้อโตช้า สถานการณ์กำลังเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ
รศ.ณรงค์ กล่าวอีกว่าภายในสิ้นปีนี้เศรษฐกิจไทยจะถดถอยรุนแรง สิ่งบอกเหตุ คือ ยอดส่งออกไทยติดลบอย่างหนัก และ การค้าขายรายย่อยล้มละลาย หรือ เอสเอ็มอี ยิ่งในอนาคตจะมีการปฏิวัติอุตสาหกรรมดิจิทัล คนรุ่นใหม่อาจมีงานทำ แต่คนรุ่นเก่าจะทำอย่างไร โดยเฉพาะมนุษย์ลูกจ้าง อายุเฉลี่ย 35 ปีขึ้นไป แปลว่าเป็นวัยครอบครัวมีภาระหน้าที่สูง ที่จะถูกหุ่นยนต์เข้ามาทดแทน โดยเฉพาะบริษัทขนาดใหญ่ ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นผู้ใช้แรงงานระดับสูง หรือ ผู้ใช้แรงงานระดับล่างจะตกงาน เพราะ AI และ หุ่นยนต์ จะเข้ามาแทนที่การเปลี่ยนผ่านทางเทคโนโลยีแบบก้าวกระโดดเปลี่ยนแปลงเร็วมาก
“ผมเคยพูดมากว่า 20 ปีว่า ประเทศไทยมีความได้เปรียบภาคเกษตรอุตสาหกรรมและเกษตรสมัยใหม่ที่เป็นจุดแข็งของไทย คือ Bio Economy หรือ เศรษฐกิจเกษตรชีวภาพที่เกี่ยวกับพืชและสัตว์ล้วนเป็นอาหารของคน แต่บริษัทยักษ์ใหญ่ทางการเกษตรกลับมาสร้างความร่ำรวยจากสิ่งเหล่านี้ จากการพัฒนาเทคโนโลยีเศรษฐกิจเกษตรชีวภาพ แต่ภาครัฐไทยกลับไม่ส่งเสริมภาคเกษตรไทยให้เป็น Bio Economy" รศ.ณรงค์ กล่าว


