posttoday

เมื่อคนรวย "รัดเข็มขัด" เจาะตลาดแบรนด์เนมเอเชียไตรมาสแรกปี 68

29 พฤษภาคม 2568

ตลาดแบรนด์เนมเอเชียเผชิญความท้าทายใน Q1/68 ยอดขายแบรนด์ดังร่วงหนัก คนรวยเริ่มรัดเข็มขัด หันเน้นคุณค่าและใช้จ่ายในต่างประเทศมากขึ้น

ตลาดสินค้าหรูหราที่เคยเฟื่องฟูในเอเชีย กำลังเผชิญกับช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ ในไตรมาสแรกของปี 2568 แบรนด์ยักษ์ใหญ่หลายแห่งรายงานยอดขายที่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ บ่งชี้ว่าแม้แต่กลุ่มผู้บริโภคที่ร่ำรวยที่สุดก็เริ่ม "รัดเข็มขัด" การใช้จ่าย และหันมาพิจารณาการซื้ออย่างรอบคอบมากขึ้น บทความนี้จะพาคุณไปสำรวจว่าเกิดอะไรขึ้นในตลาดนี้ และทำไมพฤติกรรมการซื้อของคนรวยจึงเปลี่ยนไป
 

ตลาดเอเชีย: จากเครื่องจักรขับเคลื่อนสู่ความท้าทาย

เอเชีย โดยเฉพาะจีนแผ่นดินใหญ่ เคยเป็นหัวใจสำคัญของการเติบโตในอุตสาหกรรมสินค้าหรูหราทั่วโลก แต่ภาพรวมในไตรมาสแรกของปี 2568 กลับแสดงให้เห็นถึงการชะลอตัวอย่างชัดเจน

ยอดขายที่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ: กลุ่มบริษัทแฟชั่นหรูชั้นนำอย่าง Kering (เจ้าของ Gucci), LVMH (เจ้าของ Louis Vuitton และ Dior) และ Burberry ต่างรายงานยอดขายในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกที่ลดลงอย่างมาก Kering มียอดขายในเอเชียแปซิฟิกลดลงถึง 25%  ขณะที่ LVMH มียอดขายในเอเชีย (ไม่รวมญี่ปุ่น) ลดลง 11%  และ Burberry มียอดขายในเอเชียแปซิฟิกลดลง 23%  การลดลงนี้สะท้อนถึงกิจกรรมการซื้อขายที่ซบเซาทั่วทั้งภูมิภาค โดยเฉพาะในจีนแผ่นดินใหญ่   

จีนแผ่นดินใหญ่ : หัวใจที่อ่อนแอ: ตลาดจีน ซึ่งเป็นตลาดใหญ่ที่สุดสำหรับสินค้าแบรนด์เนม กำลังเผชิญกับความท้าทายอย่างต่อเนื่อง ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ลดลงจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ วิกฤตอสังหาริมทรัพย์ และอัตราการว่างงานของเยาวชนที่สูง  ทำให้การใช้จ่ายสินค้าหรูในประเทศลดลงเกือบ 20% ในปี 2567 และคาดว่าจะทรงตัวในปี 2568  แม้แต่ศูนย์ปลอดภาษีอย่างไห่หนานก็มียอดขายลดลงประมาณ 29% ในปี 2567    

ญี่ปุ่น: จุดสว่างที่แตกต่าง: ท่ามกลางความซบเซา ญี่ปุ่นกลับโดดเด่นในฐานะตลาดสินค้าหรูที่แข็งแกร่ง โดยมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องในไตรมาสแรกของปี 2568 แบรนด์อย่าง Hermès (+17%) , Richemont (+42%)  และ Burberry (+6%)  ต่างได้รับแรงหนุนจากการฟื้นตัวของการท่องเที่ยว โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวชาวจีนและชาวเอเชียอื่นๆ ที่ได้รับประโยชน์จากค่าเงินเยนที่อ่อนค่า  นี่แสดงให้เห็นว่ากำลังซื้อของชาวจีนไม่ได้หายไปไหน เพียงแต่เปลี่ยนทิศทางไปใช้จ่ายในต่างประเทศแทน    

เมื่อคนรวย "รัดเข็มขัด" เจาะตลาดแบรนด์เนมเอเชียไตรมาสแรกปี 68
 

อินเดีย: ตลาดเกิดใหม่ที่มีศักยภาพ: แม้จะยังเป็นส่วนเล็กๆ ของตลาดโลก แต่อินเดียกำลังกลายเป็นกลไกขับเคลื่อนการเติบโตที่สำคัญอย่างรวดเร็ว ด้วยจำนวนประชากรผู้มีฐานะร่ำรวยที่เพิ่มขึ้น    

ทำไมคนรวยถึง "รัดเข็มขัด" การซื้อ?

การชะลอตัวนี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่ตัวเลข แต่สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงเชิงลึกในพฤติกรรมและความเชื่อมั่นของผู้บริโภคกลุ่มนี้

ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจโลก: อุตสาหกรรมสินค้าหรูหรากำลังเผชิญกับช่วงเวลาที่ท้าทายจากเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว และความกังวลเกี่ยวกับกำลังซื้อของผู้บริโภคในสหรัฐอเมริกา    

ความเชื่อมั่นที่เปลี่ยนไป: ผู้บริโภค โดยเฉพาะในจีน เริ่มให้ความสำคัญกับ "คุณค่า" มากขึ้น และลังเลที่จะยอมรับการขึ้นราคาบ่อยครั้งจากแบรนด์ หากไม่มีข้อเสนอคุณค่าที่สมเหตุสมผล  แบรนด์อย่าง Chanel เองก็กำลังปรับกลยุทธ์การขึ้นราคาให้ผ่อนคลายลง    

หันสู่ "ความหรูหราแบบเงียบๆ" และ "สินค้าลงทุน": ผู้บริโภคซื้อสินค้าน้อยลง แต่เน้นไปที่สินค้าที่เหนือกาลเวลา ซึ่งถูกมองว่าเป็นการลงทุนที่สามารถรักษามูลค่าได้  นี่คือเหตุผลที่แบรนด์ที่เน้นฝีมือช่าง มรดก และความพิเศษเฉพาะตัว เช่น Hermès และ Brunello Cucinelli ยังคงเติบโตได้ดี  รวมถึงแผนกเครื่องประดับของ Richemont ที่ยังคงแข็งแกร่ง    

ฐานการเปรียบเทียบที่สูง: หลังจากสองปีที่ตลาดเติบโตอย่างแข็งแกร่งหลังการระบาดของโรคระบาด แบรนด์ต่างๆ กำลังเผชิญกับฐานการเปรียบเทียบที่สูงจากปีก่อนหน้า ทำให้ตัวเลขการเติบโตในปัจจุบันดูต่ำลง    

สินค้าคงคลังล้นตลาด: ยอดขายที่ชะลอตัวทำให้สินค้าคงคลังเพิ่มขึ้น ซึ่งอาจนำไปสู่การลดราคาแบบลับๆ มากขึ้น และส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ความพิเศษของแบรนด์    

เมื่อคนรวย "รัดเข็มขัด" เจาะตลาดแบรนด์เนมเอเชียไตรมาสแรกปี 68

ใครรอด ใครร่วง: ผลงานของแบรนด์ต่างๆ

แบรนด์ที่ได้รับผลกระทบหนัก

Gucci (Kering): รายได้ลดลงอย่างมีนัยสำคัญถึง 24% ทั่วโลกในไตรมาสแรก    

Louis Vuitton (LVMH): แผนกแฟชั่นและเครื่องหนัง ซึ่งเป็นหัวใจหลักของกลุ่ม มียอดขายลดลง 5%    

Burberry: รายได้ค้าปลีกลดลงถึง 22% โดยเฉพาะในจีนแผ่นดินใหญ่ (-21%) และเอเชียแปซิฟิกใต้ (-38%)  
  
Richemont (นาฬิกา): แม้ภาพรวมจะลดลง แต่แผนกนาฬิกาได้รับผลกระทบอย่างมาก โดยยอดขายลดลง 13% ตลอดทั้งปี    
แบรนด์ที่ยังคงแข็งแกร่ง:

Hermès: ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยรายได้รวมเพิ่มขึ้น 7% (อัตราแลกเปลี่ยนคงที่) และเอเชีย (ไม่รวมญี่ปุ่น) เติบโต 1%    

Brunello Cucinelli: แบรนด์นี้ก็แสดงผลงานที่แข็งแกร่ง โดยรายได้ในไตรมาสแรกเพิ่มขึ้น 10.5% และเอเชียมีการเติบโตถึง 11.3%    

Chanel: แม้จะไม่มีตัวเลขยอดขายโดยตรงในไตรมาสแรกของปี 2568 สำหรับธุรกิจแฟชั่นหลัก แต่ในปี 2567 ยอดขายในเอเชียแปซิฟิกลดลง 9.3% อย่างไรก็ตาม Chanel ยังคงเป็นแบรนด์หรูที่มีมูลค่าสูงเป็นอันดับสองของโลก  และกำลังปรับกลยุทธ์การกำหนดราคาและการขยายร้านค้า   

การปรับสมดุลสู่ยุคใหม่ของสินค้าหรู

ไตรมาสแรกของปี 2568 ยืนยันว่าตลาดสินค้าหรูในเอเชียกำลังเข้าสู่ช่วงการปรับสมดุลครั้งสำคัญ ไม่ใช่การล่มสลาย แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงที่ผู้บริโภค โดยเฉพาะกลุ่มคนรวย กำลังใช้จ่ายอย่างมีวิจารณญาณมากขึ้น

สำหรับแบรนด์สินค้าหรู นี่คือช่วงเวลาที่ต้องปรับตัวอย่างรวดเร็ว

กระจายความเสี่ยงทางภูมิศาสตร์  ไม่พึ่งพาตลาดใดตลาดหนึ่งมากเกินไป และมองหาโอกาสในตลาดเกิดใหม่ เช่น อินเดีย    

เน้นคุณค่าและคุณภาพ  ให้ความสำคัญกับสินค้าที่เหนือกาลเวลา ฝีมือช่าง และการลงทุน มากกว่าแฟชั่นที่ฉาบฉวย    

กลยุทธ์ราคาที่ชาญฉลาด  การขึ้นราคาต้องมาพร้อมกับคุณค่าที่ชัดเจนและจับต้องได้    

เข้าถึงลูกค้าอย่างลึกซึ้ง  สร้างความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งกับลูกค้า และมอบประสบการณ์ที่ตอบโจทย์ความต้องการเฉพาะบุคคล    

ตลาดสินค้าหรูไม่ได้อยู่ใน "โหมดขับเคลื่อนอัตโนมัติ" อีกต่อไป และจำเป็นต้องมีการปรับตัวอย่างรวดเร็วเพื่อรับมือกับช่วงการเปลี่ยนผ่านนี้  แบรนด์ที่เข้าใจและตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรม "รัดเข็มขัด" ของคนรวยได้อย่างชาญฉลาดเท่านั้นที่จะสามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืนในอนาคต   
 

แหล่งที่มา

fibre2fashion.com

luxurysociety.com

fibre2fashion.com

globenewswire.com
 

ข่าวล่าสุด

สยามพิวรรธน์คว้า 2 รางวัลโลก พร้อมเปิด NEXTOPIA สยามพารากอน