เมืองพระธาตุและพระพุทธเจ้า 5 พระองค์กับประวัติศาสตร์ที่ไม่ปรารถนาจะเผยตัว
ในวงล้อมของภูเขาและสายน้ำยม ในอำเภอลองของจังหวัดแพร่ ยังมีเรื่องราวของดินแดนแห่งพระธาตุของพระพุทธเจ้า 5 พระองค์หลับใหลอยู่ เหมือนไม่อยากเปิดเผยตัวสู่โลกกับตำนานที่ทำให้ทุกคนยำเกรงมาถึงทุกวันนี้
จังหวัดแพร่ เป็นหนึ่งในเมืองรองของภาคเหนือ เมืองรองไม่ใช่เมืองเอก เป็นเมืองทางผ่าน น้อยคนจะเลือกเดินทางตรงไปเที่ยวไปหาในช่วงเทศกาลวันหยุด ยกเว้นผู้ที่เดินทางกลับภูมิลำเนา วิถีบางประการจึงยังเรียบง่าย งดงาม ตามแบบที่ปฎิบัติกันมาในอดีต ทั้งในตำบล อำเภอ หมู่บ้าน เราจะยังได้เห็นพิธีการอันละเอียดอ่อน อ่อนช้อยอยู่ในกระบวนการเหล่านั้น ด้วยความที่แพร่ไม่ใช่เมืองเอก ทำให้เรื่องราวบางเรื่องราวไม่ค่อยเป็นที่รับรู้แต่กลับเร้นกายและซ่อนเร้นอยู่อย่างนั้น ราวกับไม่ต้องการเปิดเผยตัว...
ในวงล้อมของภูเขาและสายน้ำยมในจังหวัดแพร่ยังมีเรื่องราวของดินแดนแห่งพระธาตุของพระพุทธเจ้า 5 พระองค์สถิตอยู่ มีตำนานเล่าขานสืบเนื่องมาในหมู่ชาวบ้าน มีความเชื่อ มีหลักฐานปรากฎ เป็นสถาปัตยกรรมทางพุทธศาสนาเล็กๆ แต่ทรงพลังแห่งอำนาจและความศักดิ์สิทธิ์ แฝงฝังอยู่ในเรื่องเล่าของผู้คนมาอย่างยาวนานนับร้อยนับพันปี ในทุกหมู่บ้านย่านตำบล ไม่ต่างจากที่อื่นๆ
ที่อำเภอลอง อำเภอหนึ่งในจังหวัดแพร่ ที่หลายคนจะรู้จักผ่านสถานีรถไฟที่สวยที่สุดอย่างสถานีบ้านปิน สถาปัตยกรรมผสมผสานระหว่างไทยภาคเหนือกับยุโรปแบบ “บาวาเรียน ทิมเบอร์เฟรมเฮาส์” อันเป็นที่นิยมในแคว้นบาวาเรีย สาธารณรัฐเยอรมนี สถานีอันเป็นเอกลักษณ์ของบ้านปินออกแบบโดยวิศวกรชาวเยอรมัน ผู้ควบคุมการก่อสร้างอุโมงค์รถไฟที่ถ้ำขุนตาน จังหวัดลำปาง
ถ้าจะเล่าว่า เมืองลอง หรือ อำเภอลอง มีประวัติศาสตร์มาอย่างยาวนานตั้งแต่ครั้งพระนางจามเทวี สตรีซึ่งปรากฏพระนามในเอกสารโบราณต่างๆ ของทางล้านนา บ้างก็ว่ารัชสมัยของพระองค์อยู่ในราว พ.ศ. 1205 – 1212 (7 ปี) บ้างก็ว่า พ.ศ. 1205 - 1222 (17 ปี) บ้างว่า พ.ศ. 1202 - 1231 (29 ปี) แต่ทั้งหมดก็จะอยู่ในช่วงราวๆ นี้คือปี พ.ศ. 1205 มีเอกสารที่ชี้ว่า พระนางจามเทวีทรงเป็นปฐมกษัตริย์แห่งอาณาจักรหริภุญไชย อันเป็นอาณาจักรโบราณในภาคเหนือของไทย
และในจดหมายเหตุหมานซู เขียนโดย ฝานฉว้อ นักเดินทางชาวจีนสมัยราชวงศ์ถัง เมื่อ พ.ศ. 1406 เคยระบุถึง หนี่หวังกว๋อ หรือ "รัฐที่ปกครองโดยกษัตริย์หญิง" ซึ่งสันนิษฐานว่าคือลำพูนในปัจจุบัน
และที่เมืองลองก็มีตำนาน 5 พระธาตุอันศักดิ์สิทธิ์ที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนาคือ ขวยปู ภูตั๊บ แหลมลี่ ศรีดอนคำ ไฮ่สร้อย (สองพระธาตุหลังมีตำนานแยก ในยุคหลังช่วงพระนางจามเทวีครองหริภุญชัย) ที่ล้วนมีความผูกพันกับพระนางจามเทวีอย่างลึกซึ้ง ไม่แตกต่างจากทางเชียงใหม่และลำพูนที่มีบันทึกเกี่ยวกับกษัตริย์สตรีจารึกไว้ในเอกสารต่างๆ
สถานที่ในตัวอำเภอลองเช่น วัดพระธาตุศรีคอนคำ และ ในบริเวณสถานที่ที่เชื่อกันว่าเรือของพระนางได้เคยมาจอดเกยบริเวณแม่น้ำยม ก็ได้มีการสร้างอนุสาวรีย์ของพระนางไว้อย่างงดงาม เรียบง่าย มีพิธีบวงสรวงบูชา ร่ายรำแบบพื้นเมือง ตีกลองฆ้องชัยกันทุกปี เพื่อระลึกถึงกษัตริย์หญิงผู้ยิ่งใหญ่ ผู้มีตัวตนอยู่ในยุคที่เก่าแก่เกินกว่าพันปี มีเพียงเอกสารไม่กี่ฉบับและบันทึกใน “ตัวธรรม” หรือ อักษรล้านนาโบราณที่ถูกถ่ายทอดออกมาเป็นภาษาในปัจจุบัน
แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ยังมีเรื่องเล่าขานสืบต่อกันเรื่อยมาในถิ่นฐานบ้านเรือน ตั้งแต่สมัยเมืองละโว้ ขึ้นไปจนถึงหริภุญไชย มาจนถึงเมื่อครั้งเชียงใหม่ ว่ามีกษัตริย์หญิงขึ้นเป็นใหญ่เหนือคนทั้งปวง ในยุคที่ส่วนใหญ่มีเพียงผู้ชายที่จะขึ้นมามีอำนาจและสร้างตำนาน
เอกสารโบราณที่เคยอ้างเรื่อง พระนางจามเทวี ได้แก่ จามเทวีวงศ์ ตำนานมูลศาสนา และ ชินกาลมาลีปกรณ์ ฉบับที่เก่าแก่ที่สุดคือ จามเทวีวงศ์ ที่เชื่อกันว่าแต่งขึ้นก่อน พ.ศ. 2000
มีข้อสันนิษฐานว่าพระนางจามเทวี หรือแม่จามอาจเคยล่องเรือลงมากราบพระธาตุแหลมลี่ในยามที่พระโอรสพระองค์เล็ก (พระเจ้ามหันตยศ) มาครองเมืองอาลัมภางค์ (ลำปางในปัจจุบัน) ส่วนพระโอรสพระองค์แรก (พระเจ้าอนันตยศ) ครองเมืองหริภุญไชย (ลำพูน) ทั้งสองเมืองจึงเป็นเมืองพี่เมืองน้องกัน เวลานั้นเมืองลองเป็นเมืองใต้อาณัติ (เมืองลูก) ของอารัมภางค์ ที่ต้องส่งบรรณาการให้อารัมภางค์
ในเรื่องนี้พระปลัดวิเชียรวิรญาโณ เจ้าอาวาสวัดพระธาตุแหลมลี่เล่าว่า ในอดีตเมืองลองได้เคยส่งส่วยแร่เหล็กเพื่อนำไปหลอมเป็นศาสตราวุธ ที่เรียกกันว่า “ตับเหล็กเมืองลอง” อันมีชื่อเสียงเลื่องลือด้านความศักดิ์สิทธิ์ของคนพื้นบ้าน แต่ไม่มีบันทึกในประวัติศาสตร์กระแสหลักเหมือนกับบ่อเหล็กน้ำพี้ของอุตรดิตถ์ และไม่ได้เปิดเป็นสาธารณะ เพราะว่ากันว่า ที่นี่มีวาระในการเปิดบ่อคือในวันขึ้น 3 ค่ำเดือน 3 เหนือ เล่ากันว่า หากเจ้าพ่อบ่อเหล็กไม่ยอมให้เปิดก็ไม่อาจเปิดบ่อได้ และหากเป็นเช่นนั้น เจ้าเมืองอาลัมภางค์จะต้องเสด็จมาทำพิธีเปิดบ่อด้วยพระองค์เอง ก่อนที่อารัมภางค์จะทำการตีเหล็กส่งศาสตราวุธให้หริภุญชัยเมื่อมีการร้องขอลงมา ก่อนส่งให้เจ้าเมืองเชียงใหม่ต่อไป
พระปลัดวิเชียรวิรญาโณ ให้ข้อมูลว่า "ตับเหล็ก" หรือ แร่เหล็กเมืองลองมีความพิเศษตรงที่มีกรรมวิธีโบราณในการหล่อด้วยแร่หลากหลายชนิด ทำให้เกิดเป็นวัตถุที่สามารถยืดหยุ่นได้ตามต้องการ ตามตำนานเล่าว่า เวลาที่เจ้านักรบเวลาเอาเหล็กลองไปใช้ยามขึ้นหลังม้าสามารถขัดดาบให้เป็นเข็มขัดได้ และเมื่อถอดออกมาก็สามารถใช้เป็นดาบได้ดังเดิม อีกประการคือแร่เมืองลองไม่กินเหล็ก คือ ไม่ดึงดูดกับเหล็กอื่น (ในขณะที่เหล็กน้ำพี้กินเหล็ก)
พระธาตุแหลมลี่แห่งเมืองลองในการรับรู้ของผู้คนแถบถิ่นนี้ มักเป็นที่กล่าวถึงด้วยความเคารพยำเกรงเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน นับตั้งแต่รุ่นปู่ย่าตาทวดมาจนถึงรุ่นพ่อรุ่นแม่ในปัจจุบัน ทำให้ที่นี่ยังคงความสงัดวิเวกสมเป็นอารามอรัญวาสี หรือวัดที่ตั้งอยู่ในป่าห่างชุมชน หากใครได้เดินเข้าไปก็จะรู้สึกได้ถึงความสงบวิเวกและน่ายำเกรง
ชาวบ้านหลายคนเล่าตรงกันว่า มักจะได้รับการสั่งสอนและตักเตือนจากพ่อแม่ปู่ย่าตายาย เวลาจะเข้ามาในบริเวณพระธาตุแหลมลี่ว่า ห้ามส่งเสียงดัง พูดจาไม่ดีไม่งาม และห้ามหยิบจับสิ่งใดมาเป็นอันขาด ขนบธรรมเนียมบางประการจึงยังถูกเก็บรักษาไว้ได้อย่างแข็งแกร่งภายในอาณาบริเวณอันศักดิ์สิทธิ์
มีบันทึกไว้ว่า พระบรมธาตุแหลมลี่ สร้างขึ้นมาเมื่อปี พ.ศ.949 โดยมีพระยาพรมกุลี เจ้าเมืองเววาทภาษีต์ (ออกเสียง เว-วา-ทะ-พา-สี) แปลว่า เมืองสองเสียง (ตามเรื่องเล่าจากการมาถึงเมืองลองทางเรือผ่านทางแม่น้ำยมของพระนางจามเทวี) ที่ตั้งของเมืองลองในปัจจุบัน พร้อมพระสหายได้พร้อมใจกันสร้างพระเจดีย์ขึ้น เพื่อครอบพระบรมธาตุของสมเด็จพระสัมมาพุทธเจ้าที่ได้เสด็จมาสถิตย์ ณ สถานที่แห่งนี้
ปัจจุบันมีอายุราว 1619 ปี (เชื่อกันว่าเป็นที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุส่วนกระดูกกระหม่อม) ต่อมาในปี พ.ศ.2531 ก็ได้มีผู้ศรัทธาร่วมใจกันบูรณะองค์พระบรมธาตุเจ้าขึ้นใหม่ ปัจจุบันมีรูปทรงเป็นเจดีย์แปดเหลี่ยมย่อมุมไม้สิบสองกว้าง 7 เมตรสูง 10 เมตรก่อด้วยอิฐหุ้มด้วยทองจังโก
แหลมลี่ที่ได้ชื่อว่าแหลมลี่ เพราะเป็นเวียงที่มีลักษณะพิเศษคือ ตั้งอยู่บนดอนลี่เหลี้ยมแหลม ทีแม่น้ำยมล้อมรอบจนทำให้เกือบเป็นเกาะกลางน้ำ และอยู่ฝั่งตะวันออกของแม่น้ำยม ไม่ปรากฏการตั้งชุมชนก่อนต้นพุทธศตวรรษที่ 25 สาเหตุที่สร้างให้ไกลจากชุมชน เพราะเป็นวัดอรัญวาสีและเป็นเวียงพระธาตุของเมืองลอง (ดังตำนานพระธาตุแหลมลี่) สร้างเป็นเวียงมหาธาตุโดยใช้แม่น้ำยมเป็นคูน้ำ กำหนดให้ตัวเวียงยาว 700 วา กว้าง 500 วา
ตามคติการสร้างเวียงพระธาตุที่แพร่หลายในล้านนา สันนิษฐานว่า บริเวณนี้สร้างขึ้นเป็นเวียงพระธาตุในช่วงปลายพุทธศตวรรษที่ 20-21 เพื่อกำหนดเขตสังฆกรรมตามคติ "นทีสีมา" ที่กำลังแพร่หลายในอาณาจักรล้านนา (นทีสีมา คือเขตแดนที่สงฆ์กำหนดบนแม่น้ำ เช่นแม่น้ำปิง โดยแม่น้ำจะต้องมีน้ำไหลผ่านได้ตลอดเวลา ไม่มีตัน ไม่ขอดแห้ง)
ภายในเวียงมีพระธาตุแหลมลี่เป็นพระมหาธาตุกลางเวียง พระธาตุน้อยปากถ้ำและพระธาตุอีกองค์หนึ่งที่ปัจจุบันเป็นเพียงซากฐานตั้งอยู่ทางด้านทิศตะวันตกของพระธาตุแหลมลี่ เป็นพระธาตุบริวาร มีกำแพงแก้วก่อด้วยอิฐล้อมรอบพระธาตุแหลมลี่ มีวิหารหลวง และวิหารน้อยเป็นเขตพุทธาวาส วิหารหลวงเป็นที่พระดิษฐานพระเจ้าเววาทะภาษีต์ (พระนอน) และวิหารน้อยประดิษฐานพระเจ้าสิกขี (พระเจ้าฝนแสนห่า) และฆ้องหลวง ในทุกๆปีจะนำฆ้องหลวงนี้ใช้ตีแห่นำขบวนเรือเครื่องครัวทานทางแม่น้ำยมและแห่เข้าวัดก่อนหมู่บ้านอื่นๆ ในงานประเพณีไหว้พระธาตุแหลมลี่ที่เรียกว่าล่องวัดใต้ ร่องวัดเดือน 6 ซึ่งได้สืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน
พระธาตุน้อยอีกองค์หนึ่งปัจจุบันปรากฏเพียงซากฐานตั้งอยู่ทางด้านทิศตะวันตกขององค์พระธาตุแหลมลี่ เป็นพระธาตุบริวารมีกำแพงแก้วก่อด้วยอิฐล้อมรอบองค์พระธาตุแหลมลี่ บริเวณอุโบสถและมีวิหารหลวงเป็นที่ประดิษฐานพระเจ้านอน หรือพระเจ้าเววาทะภาษีต์และประดิษฐานพระเจ้าสักขีหรือพระเจ้าฝนแสนห่าและฆ้องหลวง ในทุกๆปีจะนำฆ้องหลวงนี้ใช้ตีแห่นำขบวนเรือเครื่องครัวทานทางแม่น้ำยมและแห่เข้าวัดก่อนหมู่บ้านอื่นๆ ในงานประเพณีไหว้สักการะพระธาตุแหลมลี่ที่เรียกว่า “ล่องเรือวัดใต้เดือนหกเป็ง” ซึ่งได้สืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน
ประเพณีไหว้สานมัสการวัดพระธาตุแหลมลี่ “ล่องเรือวัดใต้เดือนหกเป็ง” ที่วัดพระธาตุแหลมลี่ ตำบลปากกาง อำเภอลอง จังหวัดแพร่ เป็นประเพณีเก่าแก่และมีเอกลักษณ์หนึ่งเดียว จัดขึ้นทุกวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 6 เหนือของทุกปี (วันขึ้น 15 ค่ำเดือน 4 ไทย) จะมีขบวนแห่ทางน้ำมาตามหมู่บ้านต่างๆ ภายในตำบลปากกาง พร้อมด้วยครัวทาน (เครื่องไทยทาน) โดยชาวบ้านและหัววัดของแต่ละหมู่บ้าน มีการตกแต่งเรืออย่างสวยงาม เช่น ทำเป็นปราสาท หรือตามปีนักษัตร มีการตีฆ้องตีกลองฟ้อนรำอย่างสนุกสนานบนเรือ และแห่ล่องเรือไปตามแม่น้ำยม หลังจากนั้นจะเดินขบวนกันขึ้นมาเพื่อห่มผ้าพระธาตุประจำวัดแหลมลี่
ตำนานพระธาตุและพระพุทธเจ้า 5 พระองค์
มีตำนานเล่าถึงการอัญเชิญพระธาตุของพระยาศรีธรรมโศกราช (เมื่อพระพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้วได้ 220 ปี) พร้อมด้วยพระอริยะเจ้าและพระอรหันต์ทั้งหลาย เดินทางนำพระบรมสารีริกธาตุ ส่วนบ่าเบื้องซ้ายมาประดิษฐานที่พระธาตุขวยปูชัยสิทธิ์ และเดินทางต่อมา ก่อนจะมาถึงพระธาตุภูตั๊บ ต้องผ่านบ้านม่วงคำ จึงแวะพักที่นั่นก่อนข้ามลำน้ำยม ชาวบ้านจึงได้นำมะม่วงมาถวายให้คณะ บ้านนั้นจึงได้ชื่อว่าบ้านม่วงคำ ตั้งอยู่ตรงข้ามกับพระธาตุภูตั๊บ คนละฝั่งแม่น้ำยมในปัจจุบัน หลังจากนั้นก็ได้นำพระธาตุมาประดิษฐ์ไว้บนดอยภูตั๊บ ก่อนจะจรนำพระบรมธาตุส่วนกระหม่อมมาประดิษฐานไว้ที่ “ดอนลี่เลี้ยมแหลม” หรือ คุ้งแม่น้ำยมที่ยื่นแหลมออกไป คือ ที่ตั้งของพระธาตุแหลมลี่ในปัจจุบัน
ทั้งนี้ พระปลัดวิเชียรวิรญาโณ ได้มีข้อสันนิษฐานว่า พระนางจามเทวีอาจได้เสด็จมากราบพระธาตุในแถบถิ่นเมืองลองโดยเฉพาะที่พระธาตุแหลมลี่แห่งนี้ในยุคหลังการประดิษฐานพระธาตุผ่านไป 1400 ปีแล้ว โดยเสด็จมาหลังจากที่ขึ้นครองเมืองหริภุญไชยแล้ว และอาจไม่ใช่แค่การ "หลงทางน้ำ" มา เพราะระหว่างลำน้ำยมและลำน้ำปิงนั้นไม่ใกล้กันเลย (หากล่องขึ้นมาแล้วหลงทางจากข้อสันนิษฐานเดิม) เพราะหากจะหลงทางน้ำน่าจะหลงตั้งแต่เข้าปากน้ำโพแล้ว
เหตุที่พระธาตุแหลมลี่เป็นสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์มากแห่งหนึ่งในโลก เพราะมีความเชื่อว่า ในภัทรกัปป์หรือกัปป์ปัจจุบัน มีพระพุทธเจ้าเกิดขึ้น 5 พระองค์ คือพระกกุสันธพุทธเจ้า พระโกนาคมนพุทธเจ้า พระกัสสปพุทธเจ้า พระโคตมพุทธเจ้า (เจ้าชายสิทธิธัตถะ) และ พระศรีอริยเมตไตรย (อนาคตกาล) ทุกพระองค์ล้วนมาแสดงธรรมชื่อว่า “สารัมมะจิตตะสูตร” ณ ที่แห่งนี้ทุกพระองค์ ดังนั้นหากผู้ใดมากราบไหว้ที่นี่ก็เสมือนหนึ่งได้กราบไหว้พระพุทธเจ้าทั้งห้าพระองค์นี้...


