ยกเคส "แร่หายาก" มาเลย์เตือนสติไทย นักวิชาการเผยรังสีพุ่ง 13 เท่า
แม่น้ำสีฟ้ามรณะ! นักวิชาการเตือนบทเรียน "แร่หายาก" มาเลเซีย รังสีพุ่ง 13 เท่า-ปลาตายเกลื่อน ไทยระวัง "ได้ไม่คุ้มเสีย"
KEY
POINTS
- การทำเหมืองแร่หายากส่งผลกระทบรุนแรง ทำให้แม่น้ำสุไหงเปรักเปลี่ยนเป็นสีฟ้าผิดธรรมชาติ และตรวจพบค่ากัมมันตภาพรังสีรอบโรงงานสูงเกินเกณฑ์มาตรฐานถึง 13 เท่า
- ปัญหาเกิดจากการขาดเทคโนโลยีและองค์ความรู้ในการขุดและแปรรูป ทำให้ล้มเหลวในการจัดการน้ำเสียและกากแร่ จนรัฐบาลต้องสั่งระงับกิจการ 3 แห่ง
- ไทยมีแร่หายากสำรองกว่า 8.7 ล้านตัน นักวิชาการจึงเตือนให้ระวัง หากเร่งขุดโดยขาดเทคโนโลยีที่ปลอดภัย จะซ้ำรอยหายนะทางสิ่งแวดล้อมเหมือนเพื่อนบ้าน
เมื่อแม่น้ำสายสำคัญแปรเปลี่ยนเป็นสีฟ้าสดใสผิดธรรมชาติ พร้อมการตรวจพบกัมมันตภาพรังสีที่พุ่งสูงเกินค่ามาตรฐาน
นี่คือสัญญาณเตือนภัยระดับวิกฤตจากมาเลเซีย ที่สะท้อนให้เห็นราคาที่ต้องจ่ายจากการแสวงหา "แร่หายาก" โดยขาดความพร้อม และเป็นกรณีศึกษาที่ไทยต้องจับตามอง
ดร.สนธิ คชวัฒน์ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ จากชมรมนักวิชาการสิ่งแวดล้อมไทย ได้กล่าวถึงประเด็นดังกล่าวผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว
โดยหยิบยกกรณีศึกษาที่เกิดขึ้นจริงในประเทศเพื่อนบ้านอย่างมาเลเซีย มาเป็นอุทาหรณ์สำคัญสำหรับการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติ
ความหวังทางเศรษฐกิจ บนความเสี่ยงทางสิ่งแวดล้อม
มาเลเซียถือเป็นประเทศที่อุดมไปด้วยขุมทรัพย์ใต้ดินอย่าง "แร่หายาก" (Rare Earth) ที่มีปริมาณสำรองมหาศาลกว่า 16.2 ล้านตัน
รัฐบาลมาเลเซียจึงพยายามผลักดันอุตสาหกรรมนี้เพื่อสร้างเม็ดเงินมหาศาลเข้าประเทศ ถึงขั้นประกาศระงับการส่งออกแร่ดิบตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2567 เพื่อมุ่งเน้นการแปรรูปภายในประเทศเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม ปัญหาใหญ่ที่มาเลเซียเผชิญคือ "การขาดแคลนเทคโนโลยี" ทั้งในด้านการขุดเจาะและการแปรรูปที่มีประสิทธิภาพ
จึงจำเป็นต้องดึงมหาอำนาจอย่าง "จีน" ซึ่งเป็นผู้นำเทคโนโลยีด้านนี้เข้ามาช่วยตั้งโรงกลั่น รวมถึงการลงนามความร่วมมือกับสหรัฐอเมริกาเมื่อเร็วๆ นี้
หายนะที่แม่น้ำสุไหงเปรัก ความสวยซ่อนเงามรณะ
สัญญาณอันตรายปรากฏขึ้นในช่วงต้นเดือนพฤศจิกายน เมื่อ "แม่น้ำสุไหงเปรัก" ซึ่งเป็นแม่น้ำสายยาวอันดับสองของประเทศ
เกิดปรากฏการณ์น้ำเปลี่ยนเป็น "สีฟ้าสดใส" ตลอดสาย พร้อมกับการตายของปลาจำนวนมหาศาล สร้างความตื่นตระหนกให้กับชุมชนและนักอนุรักษ์
กรมสิ่งแวดล้อมมาเลเซีย (DoE) ได้เร่งตรวจสอบและชี้เป้าไปยังพื้นที่ต้นน้ำ บริเวณสะพานกัมปุงสุไหงปาปัน เมืองเกริก รัฐเปรัก ซึ่งเป็นที่ตั้งของเหมือง 3 แห่ง
โดยหนึ่งในนั้นคือบริษัท MCRE Resources ที่ได้รับสัมปทานขุดแร่หายากด้วยเทคโนโลยีจากจีน และบริษัท Rahman Hydraulic Tin ผู้ดำเนินกิจการเหมืองดีบุกแบบเปิดที่ใหญ่ที่สุด ซึ่งนำหางแร่ดีบุกมาแปรรูปต่อ
หลักฐานมัดตัว ค่ารังสีพุ่งทะลุเพดาน
ผลการตรวจสอบทางวิทยาศาสตร์ยืนยันข้อสันนิษฐานอย่างชัดเจน ตัวอย่างน้ำทิ้งจากกระบวนการบดย่อยและตกตะกอนของบริษัท MCRE มีโทนสีน้ำเงินตรงกับสีของแม่น้ำ
แต่สิ่งที่น่าตกใจยิ่งกว่าคือ ค่ากัมมันตภาพรังสีในพื้นที่รอบโรงงานที่วัดได้สูงถึง 13 เบกเคอเรล ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ความปลอดภัยที่กำหนดไว้ในรายงาน EIA (1 เบกเคอเรล) ถึง 13 เท่า!
จากการสอบสวนเชิงลึกพบว่า บริษัทเหล่านี้ล้มเหลวในการปฏิบัติตามเงื่อนไขด้านสิ่งแวดล้อมอย่างสิ้นเชิง
ทั้งการปล่อยน้ำเสียที่ปนเปื้อน การปล่อยให้เกิดการกัดเซาะ และการจัดการสารเคมีที่ไม่ได้มาตรฐาน ส่งผลให้กรมแร่ธาตุและธรณีวิทยาต้องสั่งระงับกิจการเหมืองทั้ง 3 แห่งทันที
บทเรียนถึงไทย อย่าให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย
ดร.สนธิ ทิ้งท้ายด้วยข้อเตือนใจที่หนักแน่นถึงประเทศไทย ซึ่งมีปริมาณแร่หายากจากการสำรวจเบื้องต้นราว 8.7 ล้านตัน และอาจมีมากกว่านี้หากสำรวจอย่างละเอียด
บทเรียนจากมาเลเซียชี้ให้เห็นชัดเจนว่า การเร่งรีบขุดเจาะทรัพยากรโดยขาดองค์ความรู้ ขาดเทคโนโลยีที่ปลอดภัย และขาดมาตรการควบคุมที่รัดกุม ไม่เพียงแต่จะไม่คุ้มค่าทางเศรษฐกิจในระยะยาว
แต่ยังอาจแลกมาด้วยความพินาศของระบบนิเวศและสุขภาพของประชาชนอย่างที่ประเมินค่าไม่ได้
อ้างอิง: Facebook สนธิ คชวัฒน์


