posttoday

ยกเคส "แร่หายาก" มาเลย์เตือนสติไทย นักวิชาการเผยรังสีพุ่ง 13 เท่า

22 พฤศจิกายน 2568

แม่น้ำสีฟ้ามรณะ! นักวิชาการเตือนบทเรียน "แร่หายาก" มาเลเซีย รังสีพุ่ง 13 เท่า-ปลาตายเกลื่อน ไทยระวัง "ได้ไม่คุ้มเสีย"

KEY

POINTS

  • การทำเหมืองแร่หายากส่งผลกระทบรุนแรง ทำให้แม่น้ำสุไหงเปรักเปลี่ยนเป็นสีฟ้าผิดธรรมชาติ และตรวจพบค่ากัมมันตภาพรังสีรอบโรงงานสูงเกินเกณฑ์มาตรฐานถึง 13 เท่า
  • ปัญหาเกิดจากการขาดเทคโนโลยีและองค์ความรู้ในการขุดและแปรรูป ทำให้ล้มเหลวในการจัดการน้ำเสียและกากแร่ จนรัฐบาลต้องสั่งระงับกิจการ 3 แห่ง
  • ไทยมีแร่หายากสำรองกว่า 8.7 ล้านตัน นักวิชาการจึงเตือนให้ระวัง หากเร่งขุดโดยขาดเทคโนโลยีที่ปลอดภัย จะซ้ำรอยหายนะทางสิ่งแวดล้อมเหมือนเพื่อนบ้าน

 

เมื่อแม่น้ำสายสำคัญแปรเปลี่ยนเป็นสีฟ้าสดใสผิดธรรมชาติ พร้อมการตรวจพบกัมมันตภาพรังสีที่พุ่งสูงเกินค่ามาตรฐาน

 

นี่คือสัญญาณเตือนภัยระดับวิกฤตจากมาเลเซีย ที่สะท้อนให้เห็นราคาที่ต้องจ่ายจากการแสวงหา "แร่หายาก" โดยขาดความพร้อม และเป็นกรณีศึกษาที่ไทยต้องจับตามอง

 

ดร.สนธิ คชวัฒน์ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ จากชมรมนักวิชาการสิ่งแวดล้อมไทย ได้กล่าวถึงประเด็นดังกล่าวผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว 

 

โดยหยิบยกกรณีศึกษาที่เกิดขึ้นจริงในประเทศเพื่อนบ้านอย่างมาเลเซีย มาเป็นอุทาหรณ์สำคัญสำหรับการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติ

 

การขุดแร่หายาก

 

ความหวังทางเศรษฐกิจ บนความเสี่ยงทางสิ่งแวดล้อม

 

มาเลเซียถือเป็นประเทศที่อุดมไปด้วยขุมทรัพย์ใต้ดินอย่าง "แร่หายาก" (Rare Earth) ที่มีปริมาณสำรองมหาศาลกว่า 16.2 ล้านตัน 

 

รัฐบาลมาเลเซียจึงพยายามผลักดันอุตสาหกรรมนี้เพื่อสร้างเม็ดเงินมหาศาลเข้าประเทศ ถึงขั้นประกาศระงับการส่งออกแร่ดิบตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2567 เพื่อมุ่งเน้นการแปรรูปภายในประเทศเท่านั้น

 

อย่างไรก็ตาม ปัญหาใหญ่ที่มาเลเซียเผชิญคือ "การขาดแคลนเทคโนโลยี" ทั้งในด้านการขุดเจาะและการแปรรูปที่มีประสิทธิภาพ 

 

จึงจำเป็นต้องดึงมหาอำนาจอย่าง "จีน" ซึ่งเป็นผู้นำเทคโนโลยีด้านนี้เข้ามาช่วยตั้งโรงกลั่น รวมถึงการลงนามความร่วมมือกับสหรัฐอเมริกาเมื่อเร็วๆ นี้

 

แม่น้ำสุไหงเปรัก ความสวยซ่อนเงามรณะ

 

หายนะที่แม่น้ำสุไหงเปรัก ความสวยซ่อนเงามรณะ

 

สัญญาณอันตรายปรากฏขึ้นในช่วงต้นเดือนพฤศจิกายน เมื่อ "แม่น้ำสุไหงเปรัก" ซึ่งเป็นแม่น้ำสายยาวอันดับสองของประเทศ

 

เกิดปรากฏการณ์น้ำเปลี่ยนเป็น "สีฟ้าสดใส" ตลอดสาย พร้อมกับการตายของปลาจำนวนมหาศาล สร้างความตื่นตระหนกให้กับชุมชนและนักอนุรักษ์

 

กรมสิ่งแวดล้อมมาเลเซีย (DoE) ได้เร่งตรวจสอบและชี้เป้าไปยังพื้นที่ต้นน้ำ บริเวณสะพานกัมปุงสุไหงปาปัน เมืองเกริก รัฐเปรัก ซึ่งเป็นที่ตั้งของเหมือง 3 แห่ง

 

โดยหนึ่งในนั้นคือบริษัท MCRE Resources ที่ได้รับสัมปทานขุดแร่หายากด้วยเทคโนโลยีจากจีน และบริษัท Rahman Hydraulic Tin ผู้ดำเนินกิจการเหมืองดีบุกแบบเปิดที่ใหญ่ที่สุด ซึ่งนำหางแร่ดีบุกมาแปรรูปต่อ

 

ยกเคส "แร่หายาก" มาเลย์เตือนสติไทย นักวิชาการเผยรังสีพุ่ง 13 เท่า

 

หลักฐานมัดตัว ค่ารังสีพุ่งทะลุเพดาน

 

ผลการตรวจสอบทางวิทยาศาสตร์ยืนยันข้อสันนิษฐานอย่างชัดเจน ตัวอย่างน้ำทิ้งจากกระบวนการบดย่อยและตกตะกอนของบริษัท MCRE มีโทนสีน้ำเงินตรงกับสีของแม่น้ำ 

 

แต่สิ่งที่น่าตกใจยิ่งกว่าคือ ค่ากัมมันตภาพรังสีในพื้นที่รอบโรงงานที่วัดได้สูงถึง 13 เบกเคอเรล ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ความปลอดภัยที่กำหนดไว้ในรายงาน EIA (1 เบกเคอเรล) ถึง 13 เท่า!

 

จากการสอบสวนเชิงลึกพบว่า บริษัทเหล่านี้ล้มเหลวในการปฏิบัติตามเงื่อนไขด้านสิ่งแวดล้อมอย่างสิ้นเชิง 

 

ทั้งการปล่อยน้ำเสียที่ปนเปื้อน การปล่อยให้เกิดการกัดเซาะ และการจัดการสารเคมีที่ไม่ได้มาตรฐาน ส่งผลให้กรมแร่ธาตุและธรณีวิทยาต้องสั่งระงับกิจการเหมืองทั้ง 3 แห่งทันที

 

 ค่ากัมมันตภาพรังสีในพื้นที่รอบโรงงานที่วัดได้สูงถึง 13 เบกเคอเรล

 

บทเรียนถึงไทย อย่าให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย

 

ดร.สนธิ ทิ้งท้ายด้วยข้อเตือนใจที่หนักแน่นถึงประเทศไทย ซึ่งมีปริมาณแร่หายากจากการสำรวจเบื้องต้นราว 8.7 ล้านตัน และอาจมีมากกว่านี้หากสำรวจอย่างละเอียด

 

บทเรียนจากมาเลเซียชี้ให้เห็นชัดเจนว่า การเร่งรีบขุดเจาะทรัพยากรโดยขาดองค์ความรู้ ขาดเทคโนโลยีที่ปลอดภัย และขาดมาตรการควบคุมที่รัดกุม ไม่เพียงแต่จะไม่คุ้มค่าทางเศรษฐกิจในระยะยาว 

 

แต่ยังอาจแลกมาด้วยความพินาศของระบบนิเวศและสุขภาพของประชาชนอย่างที่ประเมินค่าไม่ได้

 

อ้างอิง: Facebook สนธิ คชวัฒน์

ข่าวล่าสุด

ดูบอลสด ถ่ายทอดสด ลีดส์ พบ ลิเวอร์พูล พรีเมียร์ลีก วันนี้ 6 ธ.ค.68