ดีอี-สตช. ล่าแก๊งค้าข้อมูล สยบเครือข่าย "สแกมเมอร์" พบรั่วไหล 9 ล้านชื่อ

ปฏิบัติการ "Cut Down Scam" สยบเครือข่ายค้าข้อมูล ชี้เป้า 8 จังหวัด จับกุม 6 ผู้ต้องหา 

 

กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม(ดีอี) ร่วมกับ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) เปิดปฏิบัติการครั้งสำคัญ ภายใต้ชื่อ “Cut Down Scam – สยบเครือข่ายค้าข้อมูลส่วนบุคคล” หลังสืบสวนพบการรั่วไหลของข้อมูลประชาชนครั้งใหญ่กว่า 9 ล้านรายชื่อ 

 

โดยการดำเนินการครั้งนี้มุ่งเป้าปราบปรามแหล่งที่มาของข้อมูลส่วนบุคคลที่ถูกนำไปใช้ก่ออาชญากรรมออนไลน์ โดยเฉพาะกลุ่มแก๊งคอลเซ็นเตอร์และพนันออนไลน์ที่สร้างความเสียหายระดับประเทศ 

 

ปฏิบัติการดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2568 โดยมี นายไชยชนก ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และ พล.ต.อ. กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร. ร่วมอำนวยการ 

 

ต่อมา 7 พ.ย.2568 นายไชยชนก ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม  พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผู้ช่วย ผบ.ตร. ,พล.ต.ต.พัฒนศักดิ์ บุบผาสุวรรณ ผบก.ป , พ.ต.อ.เอกสิทธิ์ ปานสีทา ผกก.4 บก.ป., พ.ต.อ.สุรพงศ์ เปล่งขำ เลขาธิการคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูล ส่วนบุคคล  ,ร.ต.อ.อมรพันธุ์ นิติธีรานนท์ ผู้ทรงคุณวุฒิ รักษาการ ผู้อำนวยการสำนักตรวจสอบและกำกับดูแล สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ร่วมกันแถลงข่าวกรณีดังกล่าว

 

ระบุว่า เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมนำโดยตำรวจกองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) สนธิกำลังร่วมกับเจ้าหน้าที่จาก สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPC) เข้าตรวจค้นพื้นที่เป้าหมายรวม 8 จุด ใน 8 จังหวัด ได้แก่ 

- เชียงราย

- อุดรธานี

- สระบุรี

- ปทุมธานี

- สมุทรสาคร

- ประจวบคีรีขันธ์

- ชลบุรี 

- ภูเก็ต 

รวบ 6 ผู้ต้องหา เผยแหล่งข้อมูลมาจากตลาดมืดออนไลน์

ผลการตรวจค้นนำมาสู่การจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญารวม 6 ราย ประกอบด้วย

1.นายจิรวุธ (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 30 ปี

2.นายผดุงเกียรติ (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 28 ปี

3. นายบุณยสิทธิ์ (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 30 ปี

4.น.ส.ปรีดาวรรณ์ (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 26 ปี

5.น.ส.สุภัคชญา  อายุ 35 ปี 

6.นายจิรกร  อายุ 25 ปี

ผู้ต้องหาทั้งหมดถูกดำเนินคดีในฐานความผิด “เป็นผู้เก็บรวบรวม ครอบครอง หรือเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับบุคคล เพื่อนำไปใช้หรือให้บุคคลอื่นใช้ในการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยีหรือความผิดทางอาญาอื่นใด” ตาม พ.ร.ก.มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2568 มาตรา 11/2 ซึ่งมีอัตราโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินห้าแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ 

 

พร้อมกันนี้ได้ทำการตรวจยึดของกลางสำคัญ อาทิ เครื่องคอมพิวเตอร์ 6 เครื่อง, โทรศัพท์มือถือ 17 เครื่อง, อุปกรณ์สำรองข้อมูล 9 เครื่อง และสมุดบัญชีธนาคาร 7 บัญชี เพื่อนำไปขยายผลต่อไป 

 

ตามรอย"การตลาดสายเทา" ข้อมูลจริงเชื่อมโยงกว่า 4,600 คดี

การสืบสวนพบว่า แหล่งที่มาของข้อมูลส่วนบุคคลที่หลุดรอดไปถึงกลุ่มคนร้าย มีการประกาศเสนอขายผ่านเพจเฟซบุ๊กชื่อ "การตลาดสายเทา" โดยสมาชิกในเพจมีการประกาศขายข้อมูลที่ประกอบด้วย ชื่อ-นามสกุล, ที่อยู่, หมายเลขโทรศัพท์ และบัญชีธนาคาร ในราคาระหว่าง 3,000-5,000 บาท ต่อ 100,000 รายชื่อ

 

เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ใช้วิธีการล่อซื้อข้อมูลจากสมาชิกเพจรวม 7 ราย ได้ข้อมูลส่วนบุคคลรวมกว่า 2.3 ล้านรายชื่อ ซึ่งเมื่อนำไปตรวจสอบกับระบบแจ้งความออนไลน์ของ สตช. พบว่ารายชื่อดังกล่าวเป็นผู้เสียหายในคดีที่ถูกหลอกลวงออนไลน์และแจ้งความไว้แล้วถึง 4,630 คดี รวมมูลค่าความเสียหายกว่า 298 ล้านบาท

จากการสอบปากคำเบื้องต้น ผู้ต้องหาทั้ง 6 ราย ให้การรับสารภาพ โดยระบุว่าข้อมูลส่วนใหญ่มาจากกลุ่มลักลอบทำเว็บพนันออนไลน์, แอปพลิเคชันกู้เงินออนไลน์ และแอปพลิเคชันหลอกลวงขอข้อมูลผิดกฎหมาย ซึ่งข้อมูลทั้งหมดถูกนำมาลักลอบขายให้กับมิจฉาชีพในตลาดมืดออนไลน์ โดยจากการตรวจสอบของกลางพบว่า กลุ่มผู้ต้องหายังมีข้อมูลส่วนบุคคลเก็บไว้อีกกว่า 6 ล้านรายชื่อ ทำให้ยอดรวมข้อมูลส่วนบุคคลที่พบว่ารั่วไหลในปฏิบัติการครั้งนี้พุ่งสูงถึง ประมาณ 9 ล้านรายชื่อ 

 

กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมและสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้ออกประกาศเตือนภัยให้ประชาชนเพิ่มความระมัดระวังในการเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลผ่านช่องทางออนไลน์ โดยย้ำให้ตรวจสอบความน่าเชื่อถือของผู้ขอข้อมูลอย่างละเอียดก่อนทุกครั้ง