เกาหลีใต้เร่งติดตามคดี นศ.เสียชีวิต เชื่อมีเอี่ยวสแกมเมอร์กัมพูชา 1-2 พันคน
หน่วยข่าวกรองเกาหลีใต้ เดินหน้าติดตามผู้ต้องสงสัยคดีนักศึกษาเสียชีวิต จากขบวนการหลอกลวงออนไลน์ เชื่อมีตัวเลขผู้เกี่ยวข้องสแกมเมอร์กว่า 1-2 พันคน ในกัมพูชา
KEY
POINTS
- หน่วยข่าวกรองเกาหลีใต้ (NIS) กำลังติดตามผู้ต้องสงสัยสำคัญในคดีนักศึกษาเสียชีวิตที่กัมพูชา ซึ่งเชื่อว่าเกี่ยวข้องกับขบวนการหลอกลวงและเชื่อมโยงกับคดียาเสพติดในกรุงโซล
- NIS ประเมินว่ามีชาวเกาหลีใต้ประมาณ 1,000–2,000 คน ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับแก๊งสแกมเมอร์ในกัมพูชา ซึ่งมีฐานปฏิบัติการราว 50 แห่งทั่วประเทศ
- ทางการเกาหลีใต้ชี้ว่าชาวเกาหลีใต้จำนวนมากที่เข้าไปพัวพันกับขบวนการเหล่านี้ ควรถูกมองว่าเป็น "ผู้ร่วมกระทำผิด" มากกว่า "เหยื่อ" เนื่องจากเข้าร่วมโดยสมัครใจเพื่อผลประโยชน์ทางการเงิน
สำนักข่าวกรองแห่งชาติของเกาหลีใต้ (NIS) เปิดเผยต่อคณะกรรมาธิการข่าวกรองของรัฐสภาเมื่อวันพุธว่า หน่วยงานกำลังติดตามตัวผู้ต้องสงสัยสำคัญที่เกี่ยวข้องกับการเสียชีวิตของนักศึกษามหาวิทยาลัยชาวเกาหลีใต้ในประเทศกัมพูชา ซึ่งเชื่อว่าเกิดจากขบวนการหลอกลวงการทำงาน (Job Scam)
NIS ระบุว่า ผู้ต้องสงสัยรายนี้มีความเกี่ยวข้องกับหัวหน้าแก๊งในคดียาเสพติดรายใหญ่ที่เกิดขึ้นในเขตกังนัม กรุงโซล เมื่อปี 2023 โดยทางหน่วยข่าวกรองได้รับข้อมูลเกี่ยวกับการเสียชีวิตของนักศึกษาภายในสามวันหลังเกิดเหตุ และสามารถระบุตัวผู้ต้องสงสัยได้ภายในแปดวัน ขณะที่ตำรวจยังคงอยู่ระหว่างการติดตามจับกุม
หน่วยข่าวกรองยังรายงานเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันมีชาวเกาหลีใต้ประมาณ 1,000–2,000 คน ที่คาดว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการหลอกลวงทางออนไลน์ในกัมพูชา ซึ่งมักเกี่ยวพันกับการลักพาตัวและกักขังเหยื่อเพื่อบังคับทำงานในแก๊งสแกม
ในช่วงเดือนมิถุนายนถึงกรกฎาคมปีนี้ เจ้าหน้าที่กัมพูชาได้จับกุมผู้ต้องสงสัยกว่า 3,075 คน ที่เกี่ยวข้องกับคดีลักษณะเดียวกัน โดยในจำนวนนี้มีชาวเกาหลีใต้ 57 คน
NIS ประเมินว่า ปัจจุบันมีฐานปฏิบัติการสแกมเมอร์ราว 50 แห่ง ที่กระจายอยู่ในกรุงพนมเปญ เมืองสีหนุวิลล์ และพื้นที่อื่น ๆ ของกัมพูชา โดยมีผู้เกี่ยวข้องรวมกันมากถึง 200,000 คน
หน่วยข่าวกรองยังชี้ว่า ชาวเกาหลีใต้จำนวนหนึ่งที่เคยถูกมองว่าเป็น “เหยื่อ” ของขบวนการเหล่านี้ แท้จริงแล้วควรถูกมองว่าเป็น “ผู้ร่วมกระทำผิด” มากกว่า เนื่องจากหลายรายมีแรงจูงใจทางการเงินและมีส่วนร่วมอย่างแข็งขันในกิจกรรมผิดกฎหมาย เช่น การใช้โทรศัพท์เถื่อนหรือสนับสนุนการทำงานของแก๊ง
“NIS ชี้ว่าผู้ที่เดินทางไปกัมพูชาหลายคนเข้าร่วมในกิจกรรมเหล่านี้อย่างสมัครใจ เพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว จึงควรมองในฐานะผู้ต้องสงสัยหรือผู้สมรู้ร่วมคิด มากกว่าจะมองว่าเป็นเหยื่อทั้งหมด” ตัวแทนจากรัฐสภากล่าว


