รองประธานวุฒิสภากัมพูชา โจมตีไทยเวที IPU อ้างละเมิดสิทธิมนุษยชน
นายอุช โบฤทธิ์ รองประธานวุฒิสภากัมพูชา โจมตีไทยในการประชุมสมัชชาสหภาพรัฐสภา (IPU) ที่สวิตเซอร์แลนด์ กล่าวหาไทยละเมิดมาตรฐานด้านมนุษยธรรมอย่างรุนแรงตามแนวชายแดน
KEY
POINTS
- นายอุช โบฤทธิ์ รองประธานวุฒิสภากัมพูชา ใช้เวทีประชุมสมัชชาสหภาพรัฐสภา (IPU) ที่เจนีวา กล่าวโจมตีประเทศไทยเกี่ยวกับปัญหาพิพาทชายแดน
- กล่าวหาว่าไทยละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างรุนแรง โดยอ้างถึงการปิดล้อมชาวบ้าน การใช้ปฏิบัติการจิตวิทยา และการควบคุมตัวทหารกัมพูชา
- อ้างอิงสนธิสัญญาฝรั่งเศส-สยาม ปี 1904 และคำพิพากษาของศาลโลก ปี 1962 เพื่อสนับสนุนข้อกล่าวหาของฝ่ายกัมพูชา
เมื่อเวลาประมาณ 10.00 น. ตามเวลาท้องถิ่นประเทศสวิตเซอร์แลนด์ นายอุช โบฤทธิ์ ผู้แทนรัฐสภากัมพูชา ซึ่งเป็นบุคคลลำดับที่สองรองจากนายฮุน เซน ได้ขึ้นกล่าวในเวที General Debate ของการประชุมสมัชชาสหภาพรัฐสภา ครั้งที่ 151 ที่ศูนย์การประชุมนานาชาติเจนีวา โดยการปราศรัยของรองประธานวุฒิสภากัมพูชาเป็นไปตามความคาดหมายของ "ทีมไทยแลนด์" ที่จะฉวยโอกาสโจมตีไทยจากปัญหาพิพาทตามแนวชายแดนด้วยข้อมูลที่บิดเบือนเข้าข้างตนเอง
ทั้งนี้ นายอุช โบฤทธิ์ ไม่ได้เข้าร่วมการประชุมในห้องต่างๆ ของ IPU ตลอด 2 วันที่ผ่านมา รวมถึงเวที General Debate ในวันแรก ซึ่งในวันแรก นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภาของไทย ได้ขึ้นกล่าวไปแล้ว
นายอุช โบฤทธิ์ กล่าวถึงปัญหาพิพาทตามแนวชายแดน โดยอ้างว่าหากประเมินสถานการณ์ด้านมนุษยธรรม ซึ่งเป็นหัวข้อหลักของการประชุม IPU ในครั้งนี้ จะพบว่ามาตรฐานมนุษยธรรมถูกละเมิดอย่างรุนแรงจากปัญหาตามแนวชายแดนของกัมพูชาที่มีมาเป็นเวลานาน
นายอุช โบฤทธิ์ ได้กล่าวขอร้องประเทศไทยในฐานะประเทศเพื่อนบ้านให้รับทราบเรื่องนี้ด้วย โดยย้ำว่า "กัมพูชาไม่คิดจะเป็นศัตรูกับใครทั้งสิ้น"
อ้างสนธิสัญญาฝรั่งเศส-สยาม ปี 1904 และคำพิพากษาศาลโลก ปี 1962
รองประธานวุฒิสภากัมพูชากล่าวต่อไปว่า สงครามเรื่องพรมแดนระหว่างไทยกับกัมพูชามีขอบเขตตามที่กำหนดโดยกฎหมาย และถูกควบคุมโดยเครื่องมือระหว่างประเทศที่มีผลผูกพัน โดยอ้างถึงสนธิสัญญาฝรั่งเศส-สยาม ค.ศ.1904 ซึ่งมีแผนที่ประกอบเป็นหลักฐาน นอกจากนี้ยังรวมถึงสนธิสัญญาอีกหลายฉบับ หลักกฎหมาย และคำพิพากษาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ค.ศ.1962 (พ.ศ.2505) ด้วย
โวยไทยใช้ปฏิบัติการจิตวิทยา - ปิดล้อมชาวบ้าน
ผู้แทนรัฐสภากัมพูชายังถือโอกาสแสดงความขอบคุณประเทศจีน มาเลเซีย และประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ สำหรับความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาและการสร้างข้อตกลงหยุดยิงของทั้งสองประเทศ เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม
แต่ถึงแม้กระบวนการตามข้อตกลงจะมีความก้าวหน้า เขากล่าวว่าบริเวณพรมแดนยังคงเปราะบาง โดยอ้างว่าชาวบ้านกัมพูชายังคงถูกโยกย้าย ถูกปิดล้อม และถูกกดดันให้ออกจากพื้นที่ รวมถึงทหารกัมพูชา 18 นายยังถูกควบคุมตัว ซึ่งถือเป็นการละเมิดอนุสัญญาเจนีวาอย่างชัดเจน
นอกจากนี้ ยังมีการกล่าวถึงปฏิบัติการจิตวิทยา โดยมีการ "ปล่อยเสียงแหลมดังในเวลากลางคืน" ทำให้ประชาชนชาวกัมพูชาใช้ชีวิตด้วยความหวาดกลัว นายอุช โบฤทธิ์ ระบุว่า เป็นการละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์และอนุสัญญาระหว่างประเทศหลายข้อ โดยเฉพาะสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง
กล่าวเกินเวลาถูกประธานตำหนิ
เป็นที่น่าสังเกตว่า รองประธานวุฒิสภาของกัมพูชาได้กล่าวเกินเวลาที่กำหนดไปมาก แม้จะมีไฟเตือนสีแดงและแสงคล้ายไซเรนขึ้นถี่ๆ หลายรอบ แต่เจ้าตัวก็ไม่สนใจ ประธานการประชุมซึ่งเป็นสุภาพสตรีได้พูดขัดจังหวะและแจ้งเตือนผ่านไมโครโฟนหลายครั้งว่า "เวลาหมดแล้ว" แต่นายอุช โบฤทธิ์ ยังคงพยายามพูดจนจบตามเนื้อหาที่เตรียมมา จนถูกสมาชิกชาติอื่นๆ ส่งเสียงแสดงความไม่พอใจ
หลังจากกล่าวจบ ประธานที่ควบคุมเวทีสมัชชาสหภาพรัฐสภาได้กล่าวตำหนิว่า เป็นการพูดที่ไม่เคารพเวลา และส่งผลกระทบต่อสมาชิกชาติอื่นๆ เนื่องจากทุกคนก็ต้องการกล่าวปราศรัยเช่นเดียวกัน


