ราชกิจจาฯ เลื่อนเก็บเงินกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง เป็น 1 ต.ค. 69
ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่พระราชกฤษฎีกาเลื่อนเวลาจัดเก็บเงินสะสมและเงินสมทบกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง จากปี 2568 ไปเริ่มปี 2569 เนื่องจากเศรษฐกิจชะลอตัว
KEY
POINTS
- ราชกิจจานุเบกษาประกาศเลื่อนการเริ่มจัดเก็บเงินสะสมและเงินสมทบเข้ากองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง
- กำหนดวันเริ่มจัดเก็บใหม่เป็นวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2569 จากเดิมที่กำหนดไว้คือวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2568
- สาเหตุของการเลื่อนเกิดจากสภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว เพื่อช่วยบรรเทาและลดภาระทางการเงินของนายจ้างและลูกจ้าง
วันที่ 14 กันยายน 2568 ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ พระราชกฤษฎีกา กำหนดระยะเวลาเริ่มดำเนินการ จัดเก็บเงินสะสมและเงินสมทบกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง พ.ศ. 2568
โดยที่เป็นการสมควรปรับปรุงพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการกำหนดระยะเวลาเริ่มดำเนินการ จัดเก็บเงินสะสมและเงินสมทบกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง โดยให้ดำเนินการจัดเก็บเงินสะสมและเงินสมทบกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2569 เป็นต้นไป
เนื่องจากการที่พระราชกฤษฎีกากำหนดระยะเวลา เริ่มดำเนินการจัดเก็บเงินสะสมและเงินสมทบกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง พ.ศ. 2567 กำหนดให้ดำเนินการ จัดเก็บเงินสะสมและเงินสมทบกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2568 เป็นต้นไป
แต่เนื่องจากสภาพการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบันมีความผันผวนและชะลอตัวลง ส่งผลให้ผู้ประกอบการ ภาคธุรกิจ นายจ้าง และลูกจ้างต้องปรับตัวและเผชิญกับการแข่งขันที่สูงขึ้น ทั้งจากปัจจัยภายในและภายนอกประเทศ และส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพเศรษฐกิจและสังคมโดยรวม
ดังนั้น เพื่อบรรเทาและลดภาระทางการเงินของนายจ้างและลูกจ้าง สมควรปรับปรุงพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวโดยเลื่อนระยะเวลาเริ่มดำเนินการจัดเก็บ เงินสะสมและเงินสมทบกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างเป็นตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2569 เป็นต้นไป
ทั้งนี้ กองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง คือ สวัสดิการที่ช่วยคุ้มครองแรงงาน กำหนดขึ้นเพื่อเป็นทุนสงเคราะห์ลูกจ้างกรณีออกจากงาน ไม่ว่าจะเป็นกรณีที่ลาออกเอง นายจ้างเลิกจ้าง ยกเลิกหรือสิ้นสุดสัญญาจ้าง เกษียณอายุหรือแม้แต่กรณีที่ลูกจ้างเสียชีวิต (เงินจะตกแก่บุคคลที่ลูกจ้างระบุไว้ หรือหากไม่มีการระบุหรือบุคคลที่ระบุเสียชีวิตก่อน เงินจะตกแก่บุตร ภรรยา คู่สมรส บิดา มารดาที่มีชีวิตอยู่จำนวนเท่าๆ กัน) ตลอดจนกรณีอื่นๆ ที่คณะกรรมการกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างเป็นผู้กำหนด โดยกองทุนนี้จะเป็นหลักประกัน และสร้างความมั่นคงให้กับลูกจ้างและครอบครัว ช่วยแบ่งเบาภาระ ลดความเดือดร้อนอีกทั้งยังช่วยส่งเสริมวินัยการออมเงินเพื่อให้มีเงินสำรองหรือเงินฉุกเฉินไว้ใช้เมื่อออกจากงาน
ตามกฎหมาย กิจการที่ต้องเข้าร่วมเป็นสมาชิกกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง ต้องเป็นกิจการที่มีลูกจ้างตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป และนายจ้างไม่ได้จัดให้มีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ จะต้องดำเนินการให้ลูกจ้างเป็นสมาชิกกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างตามกฎหมาย อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่ลูกจ้างเป็นสมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพอยู่แล้ว ก็ยังต้องสมัครกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างอีกได้ หากกิจการของนายจ้างมีลูกจ้างตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป
จากคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 2567 นั้น เดิมจะมีผลบังคับให้เริ่มจัดเก็บเงินสะสมและเงินสมทบกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างในช่วงแรก ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2568 – 30 กันยายน 2573 ในอัตรา 0.25% ของค่าจ้าง (นายจ้างจ่ายเงินสมทบจำนวนเท่ากันกับลูกจ้าง) และตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2573 เป็นต้นไป จะจัดเก็บในอัตรา 0.50% ของค่าจ้าง
ซึ่งเมื่อลูกจ้างออกจากงานไม่ว่าจะเป็นกรณีใดก็ตาม เช่น ลาออก เกษียณอายุ สิ้นสุดสัญญาจ้าง ถูกเลิกจ้างโดยกระทำความผิด หรือไม่มีความผิด จะได้รับเงินสะสม เงินสมทบ และดอกผลจากเงินดังกล่าว ส่วนกรณีที่ลูกจ้างตาย จะจ่ายให้กับบุคคลผู้พึงได้รับเงินจากกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างตามที่ลูกจ้างระบุไว้ในหนังสือ


