


47+
















































CIB ทลายแก๊งบริษัทผีจีนเทา หลอกลงทุนเทรดหุ้น รวบ 15 ผู้ต้องหา
ตำรวจสอบสวนกลาง เปิดปฏิบัติการ “9.9 FAKE COMPANY” ทลายแก๊งบริษัทผีจีนเทา หลอกลงทุนเทรดหุ้น จับผู้ต้องหา 15 ราย ยึดของกลางและทรัพย์มูลค่ารวม 21 ล้านบาท
กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) โดยกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ได้สั่งการให้ พล.ต.ต.ไพบูลย์ น้อยหุ่น รอง ผบช.ก., พล.ต.ต.อธิป พงษ์ศิวาภัย ผบก.ปอท. พร้อมกำลังหลายหน่วยงาน เปิดปฏิบัติการ “9.9 FAKE COMPANY”
เข้าตรวจค้นเป้าหมาย 13 จุดในพื้นที่กรุงเทพมหานคร นนทบุรี ปทุมธานี และเชียงใหม่ จับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาได้ 15 ราย (สัญชาติไทย 14 ราย และสัญชาติจีน 1 ราย) และอายัดผู้ต้องหาในเรือนจำอีก 1 ราย
สืบเนื่องมาจากช่วงปลายเดือนพฤษภาคม 2568 ผู้เสียหายพบเห็นโฆษณาบนเฟซบุ๊กเกี่ยวกับการชักชวนลงทุนเทรดหุ้นจากนั้นจึงได้กดลิงก์โฆษณาดังกล่าวเชื่อมโยงไปยังเว็บไซต์ที่เปิดให้กรอกข้อมูลส่วนตัว จากนั้นมีผู้ติดต่อทางแอปพลิเคชันไลน์ แสดงตนเป็นเลขาของนักลงทุนชื่อดัง เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ และเชิญผู้เสียหายเข้ากลุ่มไลน์โอเพนแชทที่มีบุคคลปลอมตัวเป็นนักลงทุนจำนวนมากทำหน้าที่สนับสนุนความน่าเชื่อถือ
ต่อมาในเดือนกรกฎาคม 2568 กลุ่มผู้ต้องหาได้นำเสนอการลงทุนซื้อขายหุ้นผ่านแพลตฟอร์ม FINNIXMAX โดยอ้างว่าสามารถทำกำไรได้ร้อยละ 10–20 ภายใน 2–3 วัน ผู้เสียหายรายนี้ได้โอนเงินไปลงทุนจำนวน 5 ครั้ง มูลค่าความเสียหายประมาณ 1,200,000 บาท โดยใช้บัญชีนิติบุคคลซึ่งจัดตั้งขึ้นเพื่อรองรับธุรกรรมดังกล่าว
ช่วงแรกสามารถถอนเงินออกจากระบบได้จริง เพื่อหลอกล่อให้เชื่อถือและเพิ่มวงเงินลงทุน แต่ภายหลังไม่สามารถถอนเงินออกมาได้ และไม่สามารถติดต่อผู้แอบอ้างได้ จึงเข้าแจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ
ผลการสืบสวนพบว่า ขบวนการดังกล่าวมีการจัดโครงสร้างอย่างเป็นระบบ โดยมีบุคคลสัญชาติจีนเป็นผู้บงการหลัก กำหนดวิธีการปฏิบัติ มีคนไทยทำหน้าที่เป็นล่าม ประสานงานจัดหาบัญชี "นิติบุคคลม้า" และพากรรมการนิติบุคคลไปเบิกถอนเงินสดจากธนาคารครั้งละหลายล้านบาท ระหว่างการถอนเงินจะมีผู้ควบคุมดูแลเพื่อป้องกันการโกงหรือหลบหนี เมื่อถอนเงินแล้วจะรวบรวมส่งมอบให้ผู้บงการชาวจีน
เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้รวบรวมพยานหลักฐาน และขออนุมัติศาลอาญาออกหมายจับผู้ต้องหาทั้ง 24 ราย ในความผิดฐาน “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน, ร่วมกันฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นคนอื่น, โดยทุจริตหรือโดยหลอกลวงร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมด หรือบางส่วนหรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน, สมคบโดยการตกลงตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงินและได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน, ร่วมกันฟอกเงิน และร่วมกันเป็นอั้งยี่”
โดยแบ่งเป็น กลุ่มผู้ต้องหา
- กลุ่มกรรมการ นิติบุคคลบัญชีม้า มีหน้าที่ในการเบิกเงินสด จำนวน 6 ราย
- กลุ่มฟอกเงิน มีหน้าที่ในการช่วยเหลือ ดูแล ในการเบิกเงินสด จำนวน 13 ราย
- กลุ่มผู้จัดหาบัญชีม้านิติบุคคล และควบคุมสั่งการในการถอนเงิน จำนวน 2 ราย
-ผู้ต้องหาที่ทำหน้าที่เป็นล่าม และนำเงินสดไปส่งมอบให้แก่คนจีน จำนวน 1 ราย
- กลุ่มผู้ต้องหาที่รับเงินสด เป็นเครือข่ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ จำนวน 2 ราย (จีน 1 ราย และไทย 1 ราย )
กระทั่งวันที่ 9 กันยายน 2568 ตำรวจสอบสวนกลางได้เปิดปฏิบัติการ “9.9 Fake Company” ดังกล่าว สามารถจับกุมผู้ต้องหาได้ 15 ราย ดังนี้
ร่วมกันจับกุมผู้ต้องหา จำนวน 15 ราย (คนไทย 14 ราย, คนจีน 1 ราย) ดังนี้
1. MR. WANG อายุ 40 ปี สัญชาติจีน ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาที่ 5217/2568 ลงวันที่ 8 ก.ย.68
2. น.ส.ริญญภัสร์ฯ อายุ 33 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาที่ 5218/2568 ลงวันที่ 8 ก.ย.68
3. นางพรปวีณ์ฯ อายุ 48 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาที่ 5211/2568 ลงวันที่ 8 ก.ย.68
4. นายยรรยงฯ อายุ 32 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาที่ 5224/2568 ลงวันที่ 8 ก.ย.68
5. นายศักดิ์สิทธิ์ฯ อายุ 42 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาที่ 5214/2568 ลงวันที่ 8 ก.ย.68
6. นายธนภาคย์ฯ อายุ 53 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาที่ 5228/2568 ลงวันที่ 8 ก.ย.68
7. นายโยธินฯ อายุ 47 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาที่ 5225/2568 ลงวันที่ 8 ก.ย.68
8. นายศาสตราวุธฯ อายุ 33 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาที่ 5221/2568 ลงวันที่ 8 ก.ย.68
9. น.ส.ณภาภัชฯ อายุ 40 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาที่ 5210/2568 ลงวันที่ 8 ก.ย.68
10. น.ส.ดวงฤดีฯ อายุ 36 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาที่ 5212/2568 ลงวันที่ 8 ก.ย.68
11. นายสมคิดฯ อายุ 72 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาที่ 5213/2568 ลงวันที่ 8 ก.ย.68
12. น.ส.เด่นนภาฯ อายุ 37 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาที่ 5219/2568 ลงวันที่ 8 ก.ย.68
13. นายธวัชชัยฯ อายุ 38 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาที่ 5207/2568 ลงวันที่ 8 ก.ย.68
14. นายกุลโรจน์ฯ อายุ 28 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาที่ 5208/2568 ลงวันที่ 8 ก.ย.68
15. นายศันต์ศรุติฯ อายุ 49 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาที่ 5223/2568 ลงวันที่ 8 ก.ย.68
และอายัดตัวผู้ต้องในเรือนจำ 1 ราย
สอบถามคำให้การผู้ต้องหาเบื้องต้น
MR. WANG สัญชาติจีน และ น.ส.ริญญภัสร์ฯ ซึ่งเป็นกลุ่มผู้ต้องหาที่ทำหน้าที่สั่งการและรับเงินสด ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา แต่ยอมรับในข้อเท็จจริงว่า ได้เดินทางไปรับเงินสดจริง แต่ไปรับตามคำสั่งของคนจีนอีกคนหนึ่ง
นางพรปวีณ์ฯ, นายยรรยงฯ, นายธนภาคย์ฯ, นายโยธินฯ และ นายศาสตราวุธ ให้การปฏิเสธตลอด ข้อกล่าวหาว่า แต่ยอมรับในข้อเท็จจริงว่า ได้ร่วมกับนายศักดิ์สิทธิ์ฯ ทำการเบิกถอนเงินสดและนำไปส่งให้แก่คนจีน (MR. WANG) ซึ่งในการทำงานแต่ละครั้งจะมีการตั้งกลุ่ม Telegram ขึ้นมาเพื่อติดต่อสื่อสารกัน และจะลบกลุ่มทิ้งทันทีหลังจากงานเสร็จสิ้น
โดยนายศักดิ์สิทธิ์ฯ มีหน้าที่ในการจัดหาบัญชีนิติบุคคลม้า และ นางพรปวีณ์ฯ ทำหน้าที่เป็นล่ามในการติดต่อสื่อสารกับคนจีน ซึ่งเมื่อนายศักดิ์สิทธิ์ฯ จัดหาบัญชีนิติบุคคลม้าได้แล้ว จะจัดส่งเลขที่บัญชีให้แก่คนจีน จากนั้นแก๊งคอลเซ็นเตอร์จะนำบัญชีนิติบุคคลม้าดังกล่าวไปหลอกลวงผู้เสียหาย เมื่อผู้เสียหายโอนเงินเข้ามาแล้ว
นายธนภาคย์ฯ จะทำหน้าที่ประสานธนาคารสาขาต่างๆ เพื่อเตรียมเงินสดไว้สำหรับการเบิกถอนจำนวนมาก จากนั้นนายศักดิ์สิทธิ์ฯ และ นางพรปวีณ์ฯ จะพากลุ่มบุคคลที่เป็นกรรมการนิติบุคลบัญชีม้าไปที่ธนาคารสาขาที่ได้ประสานงานไว้แล้ว เพื่อทำการเบิกถอนเงินสด โดยมีนายยรรยงฯ, นายโยธินฯ และนายศาสตราวุธ ดูแลความปลอดภัยและควบคุมความเรียบร้อยระหว่างการถอนเงิน
จากนั้น นางพรปวีณ์ฯ จะเอาเงินสดที่เบิกถอนมา นำส่งให้แก่คนจีน (MR. WANG) โดย นางพรปวีณ์ฯ ได้รับค่าจ้างครั้งละประมาณ 10,000 บาท ส่วนนายยรรยงฯ, นายโยธินฯ และ นายศาสตราวุธฯ ได้รับค่าจ้างครั้งละประมาณ 1,000 บาท
น.ส.ณภาภัชฯ, นายสมคิดฯ, น.ส.เด่นนภาฯ, นายธวัชชัยฯ, นายกุลโรจน์ฯ ซึ่งเป็นผู้ต้องหาที่เป็นกรรมการนิติบุคคลบัญชีม้า ให้การว่า ได้รับการว่าจ้างให้ใช้บัญชีนิติบุคคลเพื่อรับเงินที่ได้จากการเทรด และการพนันออนไลน์ โดยจะมีการนัดหมายกับกลุ่มผู้ต้องหาเพื่อเบิกถอนเงินสดและส่งมอบให้
พร้อมตรวจยึดของกลาง
-โทรศัพท์มือถือ และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ จำนวน 29 รายการ
- สมุดบัญชีธนาคาร/บัตร ATM จำนวน 100 รายการ
- ซิมการ์ด จำนวน 10 อัน
- ทรัพย์สินมีค่าต่างๆ ประกอบด้วย รถยนต์ จำนวน 9 คัน, กระเป๋าและเครื่องประดับแบรนด์เนม จำนวน 40 รายการ
- เงินสดหลายสกุลมูลค่าประมาณ 300,000 บาท
รวมมูลค่าประมาณ 21 ล้านบาท
จากการตรวจสอบข้อมูลในระบบแจ้งความออนไลน์ พบว่าขบวนการดังกล่าวเชื่อมโยงกับคดีจำนวน 265 คดี มูลค่าความเสียหายรวมกว่า 654 ล้านบาท โดยใช้แพลตฟอร์ม FINNIXMAX และ CGS International รวมทั้งแอบอ้างชื่อบุคคลที่มีชื่อเสียงด้านการลงทุนในประเทศเพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือในการชักชวน



47+


















































