"เอกนัฏ" ลั่นผ่านรอยเตอร์ ภารกิจปิดประตูตีมาร ปราบธุรกิจสีเทา
“เอกนัฏ พร้อมพันธุ์” รมว.อุตสาหกรรม ให้สัมภาษณ์รอยเตอร์ ลั่นเดินหน้าปราบ "ธุรกิจสีเทา" สกัดไทยเป็นทางผ่านสินค้าผิดกฎหมาย
ณ ห้องทำงานรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ชั้น 19 การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ ได้ให้สัมภาษณ์พิเศษกับสำนักข่าวรอยเตอร์
ถึงผลการดำเนินงานที่เข้มข้นและมาตรการที่ชัดเจนในการจัดระเบียบภาคอุตสาหกรรมของไทย เพื่อสร้างความยั่งยืนทางเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อม
ปฏิบัติการเชิงรุก "ปิดประตูตีมาร" จัดระเบียบโรงงานทั่วประเทศ
นายเอกนัฏได้เน้นย้ำถึงความสำเร็จของปฏิบัติการเชิงรุกภายใต้ชื่อ “ปิดประตูตีมาร” และ “ทีมสุดซอย” ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการลงพื้นที่ตรวจสอบโรงงานและสถานประกอบการทั่วประเทศอย่างเข้มงวด
ส่งผลให้สามารถจัดการกับธุรกิจที่ไม่ปฏิบัติตามกฎหมายได้อย่างเป็นรูปธรรม โดยมีผลการดำเนินงานที่สำคัญดังนี้:
- ปิดโรงงานผิดกฎหมายแล้วกว่า 38 แห่ง ทั่วประเทศ
- ตรวจสอบและคัดกรองบริษัทต้องสงสัย ที่อาจเป็นนอมินีไปแล้วกว่า 46,000 ราย
- ยึดสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐานอุตสาหกรรม (มอก.) คิดเป็นมูลค่ากว่าพันล้านบาท พร้อมดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิด
- สกัดกั้นการลักลอบนำเข้าขยะอิเล็กทรอนิกส์ ที่มีการปนเปื้อนสารอันตราย และสั่งการให้ส่งคืนไปยังประเทศต้นทางทันที
ยกระดับมาตรฐานอุตสาหกรรม ควบคู่ความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม
กระทรวงอุตสาหกรรมไม่ได้มุ่งเน้นเพียงการปราบปราม แต่ยังให้ความสำคัญกับการยกระดับมาตรฐานอุตสาหกรรมทั้งระบบ
ตั้งแต่การกำกับดูแลโรงงานให้ปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด ไปจนถึงการส่งเสริมให้ผู้ประกอบการปรับปรุงกระบวนการผลิตให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
พร้อมกันนี้ ได้ผลักดันการบังคับใช้มาตรการ “ผู้ก่อมลพิษเป็นผู้จ่าย” (Polluter Pays Principle) อย่างจริงจัง
เพื่อสร้างความรับผิดชอบให้ผู้ประกอบการต้องดูแลและเยียวยาผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อชุมชนและสิ่งแวดล้อม
ขณะเดียวกันก็เป็นการปกป้องผู้บริโภคให้ปลอดภัยจากสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐาน ซึ่งอาจก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อชีวิตและทรัพย์สินได้
สกัดใช้ไทยเป็นทางผ่าน (Transshipment) เลี่ยงภาษี
อีกหนึ่งประเด็นสำคัญที่นายเอกนัฏหยิบยกขึ้นมาคือ ปัญหาการส่งผ่านแดน (Transshipment) ซึ่งเป็นช่องทางที่กลุ่มธุรกิจสีเทาใช้ประเทศไทยเป็นทางผ่านเพื่อหลีกเลี่ยงมาตรการทางภาษีและการกีดกันทางการค้าจากประเทศอื่น
การกระทำดังกล่าวไม่เพียงแต่สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจ แต่ยังส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของประเทศ และอาจทำให้สินค้าส่งออกของไทยต้องเผชิญกับกำแพงภาษีที่สูงถึง 36% ในบางตลาดคู่ค้า
เพื่อแก้ไขปัญหานี้ กระทรวงฯ ได้ยกระดับความเข้มงวดในการบังคับใช้กฎหมาย โดยร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ:
- ตรวจสอบตู้สินค้าต้องสงสัย ที่อาจมีการสำแดงข้อมูลเท็จ
- จับกุมสินค้าที่สำแดงเท็จ เพื่อหลีกเลี่ยงข้อบังคับ
- ทำงานร่วมกับหน่วยงานระหว่างประเทศ เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลและป้องกันไม่ให้ไทยกลายเป็นศูนย์กลางของสินค้าอันตรายหรือสินค้าผิดกฎหมาย


