รักชนก จี้จับตาประมูลคลื่น กสทช ต่ำกว่าความจริงหวั่นเอื้อนายทุน
ส.ส.รักชนก เรียกร้องประชาชนตรวจสอบการประมูลคลื่น กสทช. หลังพบราคาตั้งต้นต่ำผิดปกติ ผู้เข้าร่วมมีแค่ 2 ราย เสี่ยงรัฐสูญรายได้ ไม่เกิดการแข่งขันเสรีอย่างแท้จริง
"ไอซ์" รักชนก ศรีนอก ส.ส.พรรคประชาชน แถลงข่าวเมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2568 เรียกร้องให้ประชาชน สื่อมวลชน และภาคประชาสังคมร่วมกันจับตา การประมูลคลื่นความถี่ 2100 MHz และ 2300 MHz ของสำนักงาน กสทช. ที่จะมีขึ้นในวันที่ 29 มิถุนายนนี้ หลังพบหลายประเด็นน่ากังวล โดยเฉพาะเรื่องความโปร่งใส การแข่งขันที่เสรี และประโยชน์สูงสุดที่ควรจะตกอยู่กับประชาชน
"ส.ส.ไอซ์" ตั้งข้อสังเกตว่า การประมูลครั้งนี้มีผู้เข้าร่วมเพียง 2 รายหลัก ซึ่งเป็นผลจากการควบรวมกิจการระหว่าง TRUE และ DTAC จึงไม่มีการแข่งขันที่แท้จริง และอาจส่งผลให้ราคาประมูลจบที่ "ราคาตั้งต้น" ซึ่งต่ำกว่าความเป็นจริงมาก
ตัวอย่างเช่น
คลื่น 2100 MHz ตั้งราคาตั้งต้นไว้ 4,500 ล้านบาท แต่ปัจจุบัน AIS จ่ายค่าเช่าใช้คลื่นนี้จาก NT สูงถึง 12,669 ล้านบาท
คลื่น 2300 MHz ตั้งราคาตั้งต้นไว้เพียง 2,596 ล้านบาท ขณะที่ DTAC เคยจ่ายค่าเช่าให้ NT ถึง 7,309 ล้านบาท
นอกจากนี้ ยังพบว่า กสทช.ใช้วิธีประเมินราคาที่ไม่สอดคล้องกันในแต่ละคลื่น และไม่ได้ปรับราคาให้สอดรับกับเงินเฟ้อหรือสภาพตลาดปัจจุบัน ทำให้ราคาขั้นต่ำดูต่ำผิดปกติ รัฐอาจสูญเสียรายได้มหาศาลโดยไม่จำเป็น
รักชนก ระบุว่า กสทช. ยังไม่มีแผนรองรับกรณีที่ไม่มีการแข่งขัน ไม่ได้กำหนดมาตรการควบคุมราคาบริการ หรือการใช้โครงสร้างพื้นฐานร่วมกัน รวมถึงไม่มีมาตรการที่ส่งเสริมให้เกิดผู้ให้บริการรายใหม่หรือ MVNO ได้อย่างแท้จริง ภายใต้ตลาดที่เหลือเพียง 2 รายใหญ่
เธอชี้ว่า คลื่นความถี่ไม่ใช่แค่ทรัพยากรด้านโทรคมนาคม แต่คือ โครงสร้างพื้นฐานของสังคมดิจิทัล ที่เกี่ยวข้องกับสิทธิเสรีภาพ การศึกษา เศรษฐกิจ และคุณภาพชีวิตของประชาชน ดังนั้น กสทช.ต้องทำหน้าที่มากกว่าการจัดประมูล คือ ต้อง กำกับ ดูแล และออกแบบกติกา เพื่อให้เกิดการแข่งขันที่แท้จริง โปร่งใส และยุติธรรม
ท้ายที่สุด รักชนก เรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีกล้าตัดสินใจ ปลดประธาน กสทช. ที่ขาดคุณสมบัติในการบริหารงานให้สอดคล้องกับผลประโยชน์ของประชาชน พร้อมเสนอให้ กสทช. เปิดเผยข้อมูลการประมูลอย่างโปร่งใส ทบทวนราคาตั้งต้น และเร่งวางแผนกำกับกิจการโทรคมนาคมให้ตอบโจทย์การแข่งขันเสรี เพื่อไม่ให้ทรัพยากรของชาติถูกใช้เพื่อประโยชน์ของทุนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งแต่เพียงฝ่ายเดียว


