สตง. เจอเอง! แผ่นดินไหวเขย่ากรุง อาคารสำนักงานใหม่ 2 พันล้านถล่ม
อาคารสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) แห่งใหม่ ที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างในย่านจตุจักร ถล่มทั้งหลัง คาดผลจากแรงแผ่นดินไหว ยังไม่มีรายงานบาดเจ็บ-เสียชีวิต
เหตุแผ่นดินไหวขนาด 7.7 แมกนิจูด จุดศูนย์กลางในประเทศเมียนมา เมื่อเวลา 13.20 น. ที่ผ่านมา ส่งผลให้หลายพื้นที่ในประเทศไทย โดยเฉพาะกรุงเทพมหานครและปริมณฑล รับรู้ถึงแรงสั่นสะเทือนอย่างชัดเจน ประชาชนในอาคารสูงต่างแตกตื่นอพยพลงมาด้านล่าง
ล่าสุดมีรายงานข่าวระบุว่า อาคารสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) แห่งใหม่ ที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างในย่านจตุจักร ได้เกิดการถล่มลงมาทั้งหลัง คาดว่าเป็นผลมาจากแรงสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหว
อาคารดังกล่าวมีมูลค่าโครงการก่อสร้างสูงถึง 2,136 ล้านบาท ซึ่งเป็นที่น่าสังเกตว่า สตง. ซึ่งเป็นหน่วยงานตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณของภาครัฐ กลับต้องมาประสบกับเหตุการณ์อาคารก่อสร้างของตนเองถล่มลงมาเสียเอง
อัปเดตอาคารที่ทำการ สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินแห่งใหม่ (สตง) สูง 30 ชั้น มูลค่างานก่อสร้าง 2,136 ล้านบาท
สร้างโครงสร้างถึงจุดสูงสุดแล้ว ทุบเคลียร์ร้านเก่าๆ ริมถนนเปิ ดหน้าที่ดินสุดกว้างอลังการ 11 ไร่ ใจกลางย่านการค้าตลาดนัดจตุจักร ใกล้ MRT กำแพงเพชร ติดสถานีกลางบางซื่อ ตรงข้าม JJ MALL ติดผนังกระจกแล้ว
ล่าสุดพบมีผู้เสียชีวิต 3 ราย และยังมีผู้ติดอยู่ภายในอาคารประมาณ 81 คน ซึ่งขณะนี้เจ้าหน้าที่กำลังเร่งให้ความช่วยเหลือ เบื้องต้นได้สั่งการให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเฝ้าระวัง และเตรียมพร้อมรับมืออาฟเตอร์ช็อกที่อาจเกิดขึ้น
เหตุการณ์นี้ถือเป็นอุทาหรณ์สำคัญถึงผลกระทบจากภัยพิบัติทางธรรมชาติ ที่อาจส่งผลกระทบต่อโครงสร้างอาคาร แม้กระทั่งอาคารที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง และยังเป็นประเด็นที่น่าติดตามถึงความโปร่งใสและมาตรฐานการก่อสร้างของอาคารสำนักงาน สตง. แห่งใหม่นี้ต่อไป
ที่มาที่ไปตึกใหม่ สตง.
โครงการก่อสร้างอาคารแห่งนี้ได้รับการอนุมัติเพิ่มวงเงินค่าควบคุมงานก่อสร้างพร้อมสิ่งก่อสร้างประกอบโดยที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2568 จากวงเงินเดิม 76,800,000 บาท เป็น 84,371,916 บาท
สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ได้อนุมัติขยายระยะเวลาก่อสร้างอาคารออกไปอีก 155 วัน ส่งผลให้ระยะเวลาก่อสร้างขยายจาก 1,080 วัน (สิ้นสุดเดิมวันที่ 31 ธันวาคม 2566) เป็น 1,235 วัน ซึ่งทำให้สัญญาจ้างควบคุมงานก่อสร้างต้องมีค่าจ้างเพิ่มเติมอีก 148 วัน โดยผู้ให้บริการควบคุมงานเริ่มดำเนินงานหลังจากวันส่งมอบพื้นที่ 7 วัน ค่าจ้างควบคุมงานที่เพิ่มขึ้นอยู่ที่ 9,718,716 บาท ดังนั้น เมื่อรวมกับวงเงินในสัญญาจ้างควบคุมงานก่อสร้างเดิมที่ 74,653,200 บาท จึงมีวงเงินรวมทั้งสิ้น 84,371,916 บาท ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายที่จำเป็นเนื่องจากการขยายระยะเวลาการดำเนินงาน อ้างอิงตามข้อ 7 (3) ของระเบียบว่าด้วยการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. 2562
รายงานข่าวเปิดเผยว่า สตง. ได้ลงนามก่อหนี้ผูกพันผ่านสัญญาหลักสองฉบับ ได้แก่
1. สัญญาเลขที่ 021/2564 ลงวันที่ 23 พฤศจิกายน 2563 ว่าจ้างกิจการร่วมค้าไอทีดี-ซีอาร์อีซี (บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) และบริษัท ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 (ประเทศไทย) จำกัด) ให้ดำเนินการก่อสร้างอาคารพร้อมสิ่งก่อสร้างประกอบ ด้วยวงเงิน 2,136 ล้านบาท
2. สัญญาเลขที่ 024/2564 ลงวันที่ 14 มกราคม 2564 ว่าจ้างกิจการร่วมค้า PKW (บริษัท พี เอ็น ซิงค์โครไนซ์ จำกัด, บริษัท ว.และสหาย คอนซัลแตนตส์ จำกัด และบริษัท เคพี คอนซัลแทนส์ แอนด์ แมเนจเม้น จำกัด) ให้ดำเนินการควบคุมงานก่อสร้าง ด้วยวงเงิน 74,653,000 บาท
โดยการดำเนินโครงการนี้มีการขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันออกไปถึงปีงบประมาณ 2569 ซึ่งเกิดจากเหตุผลสำคัญสองประการ ได้แก่
1. การรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างเดิมในพื้นที่, การหยุดงานก่อสร้างตามประกาศของทางราชการเนื่องจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และพิธีวางศิลาฤกษ์ รวมเป็นระยะเวลา 58 วัน
2. การแก้ไขแบบก่อสร้างที่เกี่ยวข้องกับ Load Factor, Core Wall และการสัญจรของรถบรรทุกในชั้นใต้ดิน รวมเป็นระยะเวลา 97 วัน
จากเหตุข้างต้น ส่งผลให้ค่าจ้างควบคุมงานต้องจ่ายเพิ่มขึ้นอีก 148 วัน (ตั้งแต่วันที่ 4 มกราคม - 3 มิถุนายน 2567) โดยมีอัตราค่าจ้างวันละ 65,667 บาท คิดเป็นจำนวนเงิน 4,718,716 บาท
ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวได้รับความร่วมมือจากองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) หรือ "ACT" และ สตง. โดยมีการลงนามบันทึกข้อตกลงเพื่อป้องกันและปราบปรามการทุจริตผ่านโครงการข้อตกลงคุณธรรม (Integrity Pact) กับกิจการร่วมค้าไอทีดี-ซีอาร์อีซี การดำเนินโครงการนี้ได้มีการเปิดเผยข้อมูลในทุกขั้นตอน และเมื่อเปรียบเทียบกับราคากลางของงานก่อสร้างที่กำหนดไว้ที่ 2,522.15 ล้านบาท พบว่าโครงการนี้ใช้เงินต่ำกว่าราคากลางถึง 386.15 ล้านบาท


