กสม.เสียใจเหตุกราดยิงในห้างดังวอนสังคมยุติเผยแพร่ข้อมูลเด็กวัย14
กสม.แถลงการณ์ เสียใจเหตุกราดยิงในห้างสรรพสินค้า วอนสังคมออนไลน์ สื่อมวลชนหยุดเผยแพร่อัตลักษณ์ข้อมูลส่วนบุคคลของเด็กผู้ก่อเหตุและครอบครัวและหลีกเลี่ยงการนำเสนอรายละเอียดของเหตุรุนแรงหรือข้อมูลอันเป็นการซ้ำเดิมความสูญเสียของผู้เสียหาย
คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.)ออกแถลงการณ์ เรื่อง ขอแสดงความเสียใจต่อเหตุกราดยิงในห้างสรรพสินค้า วอนสังคมหยุดเผยแพร่อัตลักษณ์และ ข้อมูลส่วนบุคคลของเด็กผู้ก่อเหตุและครอบครัว
ตามที่ปรากฏเหตุกราดยิงในห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งย่านปทุมวัน เมื่อช่วงเย็นของวันที่ 3 ตุลาคม 2566 ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บหลายรายนั้น คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม) ขอแสดงความเสียใจ อย่างยิ่งต่อครอบครัวและญาติมิตรของผู้เสียชีวิตและผู้ได้รับบาดเจ็บ
เหตุการณ์นี้ ถือเป็นเหตุสะเทือนขวัญที่เกิดขึ้นใจกลางเมือง ซึ่งมีความเสี่ยงสูงที่ผู้คนจำนวนมากจะได้รับผลกระทบอันเป็นการกระทำผิดต่อกฎหมายและละเมิดต่อสิทธิในชีวิตและร่างกายอย่างไม่ควรเกิดขึ้น
อย่างไรก็ดี จากการติดตามสถานการณ์ปรากฏว่า ภายหลังเหตุการณ์มีการเผยแพร่และส่งต่อภาพที่เป็นการเปิดเผยอัตลักษณ์ ตลอดจนข้อมูลส่วนบุคคลของเด็กผู้ก่อเหตุวัย 14 ปีและครอบครัวอย่างแพร่หลายในสื่อสังคมออนไลน์ ซึ่งอาจนำไปสู่การตีตราและสร้างความเกลียดชังในสังคมโดยมิได้คำนึงถึงสิทธิในความเป็นส่วนตัวและสิทธิในชื่อเสียงเกียรติยศของบุคคลตามที่ได้รับการรับรองไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 32 ประกอบพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลพ.ศ. 2562
ทั้งยังขัดต่อหลักอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก (CRC) และพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 ที่ระบุว่า เด็กมีสิทธิที่จะ ได้รับความเคารพในความเป็นส่วนตัว ในทุกขั้นตอนของกระบวนการยุติธรรม และแม้แต่ในกระบวนการชั้นพิจารณาก็สมควรจะต้องหลีกเลี้ยงการแสดงตัวเด็กต่อสาธารณชน
โดยเฉพาะข้อมูลเกี่ยวกับรูปพรรณสัณฐาน ชื่อ และห้ามมิให้ผู้ใดโมษณาหรือเผยแพร่ทางสื่อมวลชนหรือสื่อสารสนเทศ ประเภทใด ซึ่งข้อมูลเกี่ยวกับตัวเด็กหรือผู้ปกคร อง โดยเจตนาที่จะทำให้เกิดความเสียหายแก่จิตใจ ชื่อเสียง เกียรติคุณ หรือสิทธิประ โยชน์อื่นใดของเด็กด้วย
ด้วยเหตุผลข้างต้น กสม.จึงขอเรียกร้องให้สังคมโดยเฉพาะผู้ใช้สื่อสังคมออนไลน์ ตลอดจนสื่อมวลชนหยุดเผยแพร่ข้อมูลที่เป็นการเปิดเผยอัตลักษณ์และข้อมูลส่วนบุคคลของเด็กผู้ก่อเหตุและครอบครัว ตลอดจนใช้ความระมัดระวังเป็นอย่างยิ่งในนำเสนอข่าวสารที่สืบเนื่องจากกรณีดังกล่าว และหลีกเลี่ยงการนำเสนอรายละเอียดของเหตุรุนแรงหรือข้อมูลอันเป็นการซ้ำเดิมความสูญเสียของผู้เสียหาย