posttoday

บล.ไทยพาณิชย์ จับตาพัฒนาการสงครามการค้า-ดอกเบี้ยเฟด

02 กรกฎาคม 2562

นายสุกิจ อุดมศิริกุล กรรมการผู้จัดการ สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ไทยพาณิชย์ (SCBS) เปิดเผยว่า การเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯกับจีนจะดำเนินต่อไปในครึ่งปีหลังนี้ และยังคงมีความเสี่ยงที่จะเป็นตัวฉุดรั้ง ทั้งบรรยากาศในตลาดการเงิน และภาวะเศรษฐกิจโลก นอกเหนือจากปัจจัยกดดันที่เกิดขึ้นจากการที่เศรษฐกิจโลกอยู่ในช่วงปลายวัฎจักรขาขึ้น (late cycle) อยู่แล้ว

นายสุกิจ อุดมศิริกุล กรรมการผู้จัดการ สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ไทยพาณิชย์ (SCBS) เปิดเผยว่า การเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯกับจีนจะดำเนินต่อไปในครึ่งปีหลังนี้ และยังคงมีความเสี่ยงที่จะเป็นตัวฉุดรั้ง ทั้งบรรยากาศในตลาดการเงิน และภาวะเศรษฐกิจโลก นอกเหนือจากปัจจัยกดดันที่เกิดขึ้นจากการที่เศรษฐกิจโลกอยู่ในช่วงปลายวัฎจักรขาขึ้น (late cycle) อยู่แล้ว

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากสงครามการค้าอาจจะส่งผลกระทบทำให้เศรษฐกิจทั่วโลกเข้าสู่ภาวะถดถอย (Recession) จึงเชื่อได้ว่าสหรัฐฯกับจีนจะสามารถบรรลุข้อตกลงทางการค้าบางอย่างร่วมกันได้บ้างในอนาคต โดยทั้งสองฝ่ายน่าจะลดภาษีนำเข้าในส่วนของสินค้ามูลค่า 2 แสนล้านดอลลาร์ ที่เพิ่งประกาศขึ้นภาษีเป็น 25% ไปในเดือนพ.ค.ลงในอีก 3-6 เดือน ข้างหน้า

ในทางตรงข้าม หากสหรัฐฯกลับมาประกาศเพิ่มภาษีสินค้านำเข้าจากจีนมูลค่าอีก 3 แสนล้านดอลลาร์ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ และจีนมีโอกาสที่จะปรับตัวลดลงอีก 15-20 % ในขณะที่ตลาดหุ้นไทยจะแข็งแกร่งกว่าโดยมีความเสี่ยงที่จะปรับตัวลดลง 7-10 % จากระดับปัจจุบัน

ขณะเดียวกัน ตลาดการเงินโลกกำลังติดตามผลการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ(เฟด) ในช่วงเดือนก.ค.อย่างใกลัชิด โดยคาดว่าเฟดมีโอกาสลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% แต่เนื่องจากเราคาดว่าเศรษฐกิจและอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐฯ จะขยายตัวในระดับปัจจุบันต่อไปทำให้คาดว่าไม่มีความจำเป็นที่เฟดต้องลดดอกเบี้ย โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากการประชุม G-20 ที่สหรัฐฯยังไม่ปรับขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจีนอีก 3 แสนล้านดอลลาร์

อย่างไรก็ตาม ในอนาคตหากสหรัฐฯตัดสินใจขึ้นภาษีสินค้านำเข้าดังกล่าว คาดว่าเศรษฐกิจโลกชะลอตัวอย่างมาก ซึ่งจะส่งผลให้เฟดจำเป็นต้องลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.50 % เหตุผลที่บล.ไทยพาณิชย์ มองแตกต่างจากตลาดเป็นเพราะเชื่อว่าเฟดจะลดดอกเบี้ยก็ต่อเมื่อสงครามการค้าทวีความรุนแรงมากขึ้น ในขณะที่ปัจจุบันตลาดการเงินให้ความสำคัญแค่เป็นเซนติเมนท์ ซึ่งความเป็นจริงแล้วต้องคำนึงถึงความสมเหตุสมผลทางเศรษฐศาสตร์เป็นหลัก

ด้านเศรษฐกิจไทย พบว่าชะลอตัวอย่างชัดเจนในไตรมาสแรก โดยเฉพาะในภาคต่างประเทศ ปัจจัยที่จะเป็นตัวผลักดันเศรษฐกิจปี 2562 จึงจำเป็นต้องพึ่งการบริโภคและการลงทุนภายในประเทศ รวมถึง การท่องเที่ยวเป็นหลัก โดยบล.ไทยพาณิชย์ คาดการณ์จีดีพี ปี 2562 ไว้ที่ 3.3 %

กลยุทธ์การลงทุนในไตรมาส 3 หุ้นเด่นที่แนะนำให้ลงทุน มุ่งเน้นไปที่หุ้นที่อ้างอิงปัจจัยในประเทศ ที่มีประเด็นการเติบโตและได้ประโยชน์จากนโยบายรัฐบาล เช่น กลุ่มนิคมอุตสาหกรรม (AMATA และ ROJNA) กลุ่มการแพทย์ (CHG) กลุ่มธนาคาร (KTB ) และ กลุ่มปิโตรเคมี (IVL) ซึ่งเป็นตัวแทนของหุ้น Global play ที่ปลอดภัยจากประเด็นสงครามการค้า

หุ้นแนะนำไตรมาส 3 จากบล.ไทยพาณิชย์ พร้อมเหตุผลประกอบ 

AMATA : กำไรแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น และได้ประโยชน์จากอีอีซี นอกจากนี้การย้ายสายการผลิตมายังประเทศไทยจะส่งผลให้ประเทศไทยเป็นหนึ่งในผู้ที่ได้รับประโยชน์อย่างชัดเจนจากการย้ายฐานผลิตออกมาจากจีน
เพราะมีห่วงโซ่อุปทานและให้ผลประโยชน์ทางภาษีที่ดีกว่าประเทศอื่น

ROJNA : รายได้ประจำช่วยป้องกันความเสี่ยงและได้ประโยชน์จากวัฎจักรการลงทุนรอบใหม่

CHG : เชื่อมั่นปันผลประกอบการที่แข็งแกร่ง เมื่อมองต่อไปข้างหน้า คาดกำไรจะปรับตัวดีขึ้นในครึ่งปีหลัง ในด้านมูลค่าหุ้นกลุ่มการแพทย์ซื้อขายที่ราคาปิดต่อกำไร (พี/อี) ที่ 32 เท่าต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปี ที่ 35 เท่า

KTB : กำไรพิเศษได้ประโยชน์จากการใช้จ่ายภาครัฐและสินเชื่อฟื้นตัว

IVL : มูลค่าไม่แพงและกำไรมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น คาดว่าจะเห็นการฟื้นตัวในช่วงที่เหลือของปี นอกจากนี้ยังมีผลกระทบน้อยที่สุดจากสงครามการค้าในปัจจุบัน