posttoday

หุ้นไทย17เม.ย.ปิดภาคเช้าร่วง5.83จุดแนวโน้มปรับฐาน

17 เมษายน 2561

หุ้นไทยเคลื่อนไหวในแดนลบก่อนปิภาคเช้าที่ระดับ 1,761.34 จุด ลดลง 5.83 จุด มูลค่าการซื้อขาย 26,515.72 ล้านบาท แนวโน้มปรับฐาน

หุ้นไทยเคลื่อนไหวในแดนลบก่อนปิภาคเช้าที่ระดับ 1,761.34 จุด ลดลง 5.83 จุด มูลค่าการซื้อขาย 26,515.72 ล้านบาท แนวโน้มปรับฐาน

เมื่อวันที่ 17 เม.ย. ตลาดหุ้นไทยเคลื่อนไหวในแดนลบเป็นส่วนใหญ่ก่อนปิดช่วงเช้าที่ระดับ 1,761.34 จุด ลดลง 5.83 จุด หรือ 0.33% มูลค่าการซื้อขาย 26,515.72 ล้านบาท โดยดัชนีแตะจุดสูงสุดที่ 1,768.38 จุด และแตะจุดต่ำสุดที่ระดับ 1,761.13 จุด

นายกิจพณ ไพรไพศาลกิจ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์และนักกลยุทธ์ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยในช่วงเช้าปรับตัวขึ้นไปเพียงแค่ช่วงสั้นหลังเปิดตลาด จากนั้นปรับตัวลงมาเคลื่อนไหวในแดนลบ โดยหากนำมุมมองทางเทคนิคมาประกอบนั้นตลาดหุ้นไทยยังมีแนวโน้มการปรับฐาน และการเคลื่อนไหวยังแกว่งตัวในช่วง 1,730-1,770 จุด โดยสัญญาณการฟื้นตัวจะกลับมาอีกครั้งได้หากดัชนีปรับขึ้นไปทะลุ 1,780 จุด

ขณะที่ปัจจัยภายนอกหลังสถานการณ์การที่สหรัฐฯและชาติพันธมิตรโจมตีคลังเก็บอาวุธเคมีของกองทัพซีเรียนั้น รัสเซียใช้การตอบโต้ทางการเมือง โดยเรียกร้องให้สหประชาชาติประณามสหรัฐฯ แต่ไม่เป็นผลสำเร็จ และสหรัฐฯได้เตรียมประกาศมาตรการคว่ำบาตรรัสเซียครั้งใหม่ โดยให้เหตุผลว่ารัสเซียให้การสนับสนุนรัฐบาลซีเรีย

ประเด็นดังกล่าวยังไม่กระทบตลาดหุ้นทั่วโลก ทำให้คลายความกังวลไปบ้างแล้ว และแต่ละประเทศได้หันกลับมาดูปัจจัยภายในประเทศของตัวเอง โดยเฉพาะผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน จะเห็นได้จากช่วงเช้าที่ผ่านมาตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียมีการเคลื่อนไหวบวกลบต่างกันในแต่ละประเทศ เช่น ตลาดหุ้นเกาหลีใต้, ไต้หวัน, เวียดนาม และฟิลิปปินส์ เคลื่อนไหวในแดนลบ ส่วนตลาดหุ้นสิงคโปร์ มาเลเซีย และญี่ปุ่น เคลื่อนไหวในแดนบวก

ส่วนปัจจัยการประกาศตัวเลข GDP ของจีนที่ออกมาเติบโต 6.8% ถือว่าเป็นไปตามที่ตลาดคาดการณ์ ไม่ได้ส่งผลอย่างมีนัยสำคัญมากต่อตลาดหุ้นเช้านี้

แนวโน้มตลาดหุ้นไทยช่วงบ่ายคาดว่าดัชนียังคงแกว่งในกรอบแคบ โดยที่ยังมีกลุ่มหุ้นที่ยังคงกดดันตลาดหุ้นไทยที่มีแรงขายออกมา คือ กลุ่มธนาคารพาณิชย์ ซึ่งนักลงทุนยังไม่เชื่อมั่นว่าผลการดำเนินงานไตรมาส 2/61 จะออกมาฟื้นตัวขึ้นหรือไม่ หลังจากได้รับผลกระทบการยกเลิกค่าธรรมเนียมเข้ามาทั้งไตรมาสที่ 2 นี้

ขณะที่กลุ่มหุ้นที่มีแรงซื้อช่วยหนุนตลาดหุ้นไทย คือ กลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี โดยเฉพาะในกลุ่มปิโตรเคมีเครือปตท. ที่นักลงทุนต่างคาดว่าจะเห็นแนวโน้มผลการดำเนินงานที่ดีขึ้น จากส่วนต่างผลิตภัณฑ์ (สเปรด) ปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยกลยุทธ์การลงทุนในช่วงนี้แนะนำให้เลือกลงทุนในหุ้นรายตัวที่มีผลการดำเนินงานดีในกลุ่มพลังงาน ปิโตรเคมี และกลุ่มการแพทย์

พร้อมให้แนวต้าน 1,770 จุด แนวรับ 1,760 จุด

ส่วนหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 หลักทรัพย์ ได้แก่

CPALL มูลค่าการซื้อขาย 4,338.61 ล้านบาท ปิดที่ 84.00 บาท ลดลง 3.00 บาท

PTT มูลค่าการซื้อขาย 2,750.04 ล้านบาท ปิดที่ 548.00 บาท ลดลง 2.00 บาท

PTTEP มูลค่าการซื้อขาย 1,613.54 ล้านบาท ปิดที่ 121.00 บาท เพิ่มขึ้น 3.00 บาท

BEAUTY มูลค่าการซื้อขาย 890.16 ล้านบาท ปิดที่ 22.70 บาท เพิ่มขึ้น 0.80 บาท

EA มูลค่าการซื้อขาย 863.25 ล้านบาท ปิดที่ 34.00 บาท ลดลง 0.25 บาท