posttoday

ดัชนี1,750จังหวะซื้อ แนะใส่เงินในหุ้นปันผลปลอดภัย

07 กุมภาพันธ์ 2561

หุ้นปรับฐานยังไม่จบ รอบนี้จะใช้เวลา 1-2 เดือน มีโอกาสลงไป 10% มองเป็นจังหวะซื้อ เหตุพื้นฐานหุ้น-เศรษฐกิจไทยไม่เปลี่ยน

หุ้นปรับฐานยังไม่จบ รอบนี้จะใช้เวลา 1-2 เดือน มีโอกาสลงไป 10% มองเป็นจังหวะซื้อ เหตุพื้นฐานหุ้น-เศรษฐกิจไทยไม่เปลี่ยน

นายวิศิษฐ์ องค์พิพัฒนกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ เปิดเผยว่า การปรับฐานตลาดหุ้นรอบนี้คาดว่าปรับตัวลงแรง เร็ว ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลาในการปรับฐานประมาณ 1-2 เดือน และจากนั้นมีโอกาสปรับตัวขึ้นต่อ โดยยังคาดเป้าหมายดัชนี SET ปีนี้อยู่ที่ 1,900 จุด พี/อี 16.5 เท่า คาดกำไรต่อหุ้น (EPS) ที่ 121 บาท

“จากสถิติในปี 1990 ตลาด Bull Market หรือตลาดที่ปรับขึ้นมาต่อเนื่อง 40% มักจะมีการปรับฐานราว 10% และใช้เวลา 1-2 เดือนในการปรับตัวขึ้น ซึ่งมองเป็นโอกาสทยอยเข้าลงทุน” กรรมการผู้จัดการ กล่าว  

นายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทรีนีตี้ กล่าวว่า ทรีนีตี้ประเมินว่าดัชนีหุ้นมีโอกาสลงไป 1,770-1,780 จุด จาก

1.แรงขายจากนักลงทุนต่างชาติ เห็นได้จากการ Short สุทธิในตลาดล่วงหน้าเมื่อวันที่ 5 ก.พ. กว่า 1.6 หมื่นสัญญา ซึ่งถือเป็นระดับสูงสุดในรอบ 4 เดือน และเป็นการเปิดสถานะใหม่ส่วนใหญ่ ทั้งนี้ในช่วง 1 วันที่ผ่านมา เงินบาทถือเป็นสกุลเงินในเอเชียที่อ่อนค่ามากที่สุดเป็นอันดับ 2 ถือเป็นสัญญาณเตือนเบื้องต้นที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด

2.แรงขายของนักลงทุนสถาบันในประเทศ เนื่องจากต้นทุนดัชนีของนักลงทุนกลุ่มนี้นับตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา อยู่ที่ระดับ 1,812 จุด หากดัชนีปรับตัวลดลงไปจากระดับนี้มาก คาดว่าจะมีกองทุนที่เน้นบริหารพอร์ตให้ผลตอบแทนชนะดัชนี (Active Fund) บางกองทุนที่ต้องขายหุ้นทิ้งหลังจากถึงจุดกำหนด Stop Loss

3.แรงขายจากธุรกรรม Block Trade ที่ในช่วงที่ผ่านมานักลงทุนบางกลุ่มใช้เป็นเครื่องมือในการสะสม Long Position ในหุ้นบางบริษัท เมื่อนักลงทุนมีการ Take Profit และ Unwind Position จะทำให้ บล.ต้องมีการปิดสถานะโดยการขายหุ้นทิ้งในกระดานหลักด้วยเช่นกัน และ 4.แรงขาย Momentum Selling จากกองทุนประเภท Robot Trading ซึ่งมักมีสไตล์เป็นแบบ Momentum Trade หากราคาหุ้นบางตัวมีการปรับตัวลงแรง อาจเกิดการ Trigger Sell ในกลุ่มกองทุนดังกล่าวได้

ทั้งนี้ มองว่าระดับดัชนีที่นักลงทุนที่ถือเงินอยู่จะสามารถเข้าลงทุนได้ คือแนวรับแรกที่ระดับ 1,750-1,760 จุด โดยระดับ 1,750 จุด คือต้นทุนดัชนีของนักลงทุนสถาบันในประเทศ หากนับตั้งแต่ต้นเดือน ธ.ค.ที่ผ่านมา 2.แนวรับ 1,700 จุด คือระดับที่น่าสนใจในแง่ของมูลค่าของตลาดหุ้น เนื่องจากเป็นระดับที่ซื้อขายด้วย พี/อี ปี 2562 ที่ 14 เท่า ซึ่งเป็นระดับที่เราเคยกล่าวไว้ว่าค่อนข้างมีเสถียรภาพ

ฝ่ายวิจัยเอเซีย พลัส ระบุว่า หุ้นปันผลสูงที่มีความผันผวนต่ำ เป็นทางเลือกการลงทุนที่น่าสนใจ เพราะอย่างน้อยก็ได้เงินปันผลเข้ากระเป๋า และหลังจากที่บริษัทต่างๆ แจ้งงบไตรมาส 4 และงวดปี 2560 แล้ว จะเข้าสู่เทศกาลจ่ายเงินปันผล แนะนำ เช่น แสนสิริ (SIRI) ค้าเหล็กไทย (TMT) อินทัช คอร์ปอเรชั่น (INTUCH) ทิปโก้แอสฟัลท์ (TASCO) เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป (MAJOR) เทคนิคในการซื้อคือ ซื้อก่อนขึ้น XD ราว 2 เดือน และขายทำกำไรวันที่ขึ้น XD หุ้นส่งออก กลุ่มนี้มูลค่าต่ำกว่าตลาดมานานกว่า 2 ปีแล้ว จากปัญหาต้นทุนวัตถุดิบหลายประเภทที่ปรับขึ้น และเงินบาทที่แข็งค่ามากกว่า 14% เป็นปัจจัยกดดันการทำกำไร ตอนนี้ถึงจุดที่เงินบาทมีแนวโน้มอ่อนค่า หลังเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้น หุ้นส่งออกจึงน่าสนใจ โดยเฉพาะตัวที่ปันผลสูง และราคามีโอกาสขยับขึ้น หุ้นที่แนะนำ เช่น ฮานา ไมโครอิเล็คโทรนิคส (HANA) และไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป (TU) หุ้นประกันชีวิต แนวโน้มผลตอบแทนจากพันธบัตรรัฐบาล ที่น่าจะปรับขึ้นตามตลาดสหรัฐ ช่วยลดความกังวลต่อการเพิ่มสำรองเบี้ยประกัน และยังส่งผลบวกต่อผลตอบแทนจากพอร์ตการลงทุน ในระยะถัดไปหุ้นแนะนำคือ กรุงเทพประกันชีวิต (BLA) 

นักวิเคราะห์ทิสโก้ ระบุว่า หุ้นปรับฐานทั้งโลกจากความกังวลเรื่องสหรัฐจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยมากกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ ทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ ซึ่งหากดัชนีหลุดระดับ 1,810 จุด ถือว่าเป็นสัญญาณไม่ดี ซึ่งนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้น้อยแนะนำให้ทยอยขายเพื่อลดการขาดทุน โดยแนะขายที่ระดับดัชนี 1,790 จุด ขณะที่นักลงทุนมีเงินพร้อมลงทุนก็แนะให้เข้าซื้อหุ้นได้ที่ระดับ 1,760 จุด

บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) หุ้นปรับฐานถือว่าเป็นจังหวะในการเข้าเลือกซื้อหุ้น เพราะพื้นฐานเศรษฐกิจและหุ้นไทยไม่ได้เปลี่ยน โดยแนะให้เลือกลงทุนใน 4 กลุ่มดังนี้ คือ 1.กลุ่มธนาคารพาณิชย์แนะนำ ธนาคารกรุงเทพ (BBL) เพราะเชื่อว่าจะได้รับอานิสงส์จากเศรษฐกิจฟื้นตัวและดอกเบี้ยขาขึ้น 2.กลุ่มค้าปลีกได้รับอานิสงส์จากเศรษฐกิจและกำลังซื้อที่เพิ่มขึ้นแนะนำ ซีพี ออลล์ กลุ่มสื่อและกลุ่มนิคมอุตสาหกรรม เพราะจะได้รับผลดีจากการลงทุนโครงการอีอีซี