posttoday

ไอพีโอซบแค่5พันล้าน

23 เมษายน 2559

บ้านปู เพาเวอร์เลื่อนขายจากครึ่งแรกไปครึ่งหลังปีนี้

บ้านปู เพาเวอร์เลื่อนขายจากครึ่งแรกไปครึ่งหลังปีนี้

โพสต์ทูเดย์ - ตลาดหุ้นผันผวนทำ 3 เดือนแรกไอพีโอระดมทุนน้อย 5,000 ล้านบาท บ้านปู เพาเวอร์ ชะลอเข้าครึ่งปีแรก

นายพิเชษฐ สิทธิอำนวย กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) บัวหลวง เปิดเผยว่า ภาพรวมการระดมทุนการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนที่เสนอขายให้ประชาชนเป็นครั้งแรก (ไอพีโอ) เงียบ และชะลอออกไปจากแผนเดิมเพื่อรอติดตามทิศทางของตลาดหุ้น เนื่องจากกังวลปัญหาเศรษฐกิจจีนในช่วงต้นปี 2559 ที่ผ่านมา ส่งผลให้มูลค่าการระดมทุนของไอพีโอในช่วง 3 เดือนแรกของปีนี้ไม่นับรวมการไอพีโอของกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (รีท) ที่ไอพีโอล่าสุดจะมีมูลค่าการระดมทุนไอพีโอเพียง 5,000 ล้านบาท

ขณะที่ธุรกิจไอพีโอที่บริษัทเป็นที่ปรึกษาทางการเงิน 3-4 ธุรกรรม ซึ่งเป็นไอพีโอที่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ทั้งหมด โดยมีจำนวน 1 ธุรกิจที่เป็นที่ปรึกษาทางการเงินร่วมด้วย คือ บริษัท บ้านปู เพาเวอร์ (BPP) ที่เลื่อนจากเดิมที่คาดว่าจะทำไอพีโอในช่วงครึ่งแรกของปี 2559 โดยต้องติดตามภาวะตลาดอีกครั้ง แต่คาดว่าธุรกรรมงานไอพีโอของบริษัททั้งหมดน่าจะเสนอขายได้ภายในปีนี้

“ตอนนี้ภาวะตลาดเริ่มกลับมาเปิดแล้ว ซึ่งการไอพีโอจะดู 2 ปัจจัย คือ ภาวะตลาด หรือถ้าลูกค้ามีความต้องการใช้เงินก็อาจไม่รอภาวะตลาดเปิด ส่วนธุรกิจวาณิชธนกิจของบริษัทปีนี้คงไม่ดีเท่าปีที่แล้วที่มีธุรกรรมใหญ่ คือ กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานบรอดแบนด์อินเทอร์เน็ต จัสมิน (JASIF) ที่ระดมทุนราว 5.20 หมื่นล้านบาท ซึ่ง 10 ปี จะมี 1 ธุรกรรม” นายพิเชษฐ กล่าว

สำหรับภาพรวมตลาดหุ้นในช่วงครึ่งปี 2559 จะมีความเคลื่อนไหวที่ผันผวนสูงจากผลกระทบปัจจัยภายนอกมีโอกาสเห็นการลงได้ในระดับ 100 จุด จาก 2 ปัจจัยหลัก คือ การเคลื่อนไหวของราคาน้ำมันดิบที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิดและคาดการณ์ได้ยาก ซึ่งบริษัทคาดว่าราคาจะอยู่ที่ประมาณ 30-35 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล และปัจจัยนโยบายการดูแลค่าเงินของจีนว่าจะดำเนินการอย่างไร

อย่างไรก็ตาม ในส่วนของเป้าหมายดัชนีหุ้นไทยในสิ้นปี 2559 บริษัทยังคงไว้ที่ระดับ 1,440 จุด อ้างอิงอัตราราคาปิดกำไรต่อหุ้น (พี/อี) ที่ 15.5 เท่า อย่างไรก็ดีมีปัจจัยบวกในประเทศ ทั้งในเรื่องนโยบายภาษี การลดค่าไฟฟ้าที่ช่วยลดต้นทุนของผู้ประกอบการ

สำหรับคำแนะนำการลงทุนให้เลือกลงทุนในกลุ่มหุ้นที่มีความปลอดภัย อาทิ บริษัท โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ (BH) ที่ราคาหุ้นยังปรับขึ้นไม่มาก หุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง วัสดุก่อสร้าง เพราะได้รับอานิสงส์จากโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ กลุ่มธุรกิจค้าปลีกที่ได้รับแรงหนุนจากการบริโภคภายในประเทศ คือ บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา (CPN) บริษัท ห้างสรรพสินค้าโรบินสัน (ROBINS)

นายพิเชษฐ กล่าวว่า ปีนี้บริษัทตั้งเป้าส่วนแบ่งรายได้จากธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์เพิ่มขึ้นเป็น 7% จากปีก่อนอยู่ที่ 6.8% โดยคาดว่าจะเพิ่มฐานลูกค้าอีก 4-5 หมื่นบัญชี จากปีก่อนอยู่ที่ 2.20 แสนบัญชี ทั้งนี้บริษัทจะเน้นการเข้าแข่งขันด้านราคา แม้ยอมรับภาพรวมในธุรกิจนายหน้าจะมีความรุนแรงต่อไปหลังจากจำนวนโบรกเกอร์เข้ามาเพิ่มขึ้นในปี 2558 ที่ผ่านมา

ทั้งนี้ บริษัทจะเน้นการให้บริการและคำแนะนำการลงทุนด้วยคุณภาพของบทวิเคราะห์กับลูกค้า อีกทั้งเน้นการจัดสัมมนาให้ความรู้กับลูกค้า รวมถึงมีนวัตกรรมการลงทุน โดยรักษาให้อัตราค่าธรรมเนียมนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ (คอมมิชชั่น) สูงกว่าอุตสาหกรรม ซึ่งในปี 2558 บริษัททำได้ที่ 0.15-0.16%

“ทิศทางการดำเนินธุรกิจปีนี้ บริษัทมุ่งรักษาความเป็นบริษัทหลักทรัพย์อันดับ 1 ที่ลูกค้าไว้วางใจเลือกใช้บริการ ซึ่งในปี 2558 สะท้อนออกมาอย่างชัดเจนจากการเพิ่มของลูกค้าใหม่และผลประกอบการ โดยบริษัทมีกำไรสุทธิ จำนวน 1,148 ล้านบาท จากปี 2557 มีกำไรสุทธิ 1,004 ล้านบาท และรายได้รวมในปี 2558 จำนวน 3,471 ล้านบาท ครองตำแหน่งบริษัทที่มีกำไรสูงสุดของอุตสาหกรรม” นายพิเชษฐ กล่าว

นอกจากนี้ บริษัทยังมีความแข็งแรงทางด้านเงินทุน โดยมีฐานเงินทุนกว่า 7,000 ล้านบาท ฐานลูกค้ากว่า 2.2 แสนบัญชี จากบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ทั้งระบบ 1.24 ล้านบัญชี อีกทั้งยังเป็นผู้นำตลาด
ใบสำคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ (Derivative Warrants) ซึ่ง DW01 ที่ออกโดยบริษัทสามารถครองส่วนแบ่งการตลาดสูงสุด 5 ปีติดต่อกัน