posttoday

ธนาคารกรุงเทพกำไรไตรมาสสอง9,347ล้านบาท

18 กรกฎาคม 2562

ธนาคารกรุงเทพยังโกยกำไรไตรมาสสองเฉียดหมื่นล้านบาท แม้ว่ารายได้จากค่าธรรมเนียมจะขยายตัวลดลง

ธนาคารกรุงเทพยังโกยกำไรไตรมาสสองเฉียดหมื่นล้านบาท แม้ว่ารายได้จากค่าธรรมเนียมจะขยายตัวลดลง

ธนาคารกรุงเทพ รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 2 ปี 2562 ธนาคารกรุงเทพและบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของธนาคารจำนวน 9,347 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.7% จากไตรมาส 2 ปี 2561 โดยรายได้ดอกเบี้ยสุทธิเพิ่มขึ้น 0.4% และส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิอยู่ที่ 2.36% ปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อย

สำหรับรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยลดลง 1.0% สาเหตุหลักจากกำไรสุทธิจากธุรกรรมเพื่อค้าและปริวรรตเงินตราต่างประเทศ และรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิลดลงเล็กน้อยจากค่าธรรมเนียมธุรกิจหลักทรัพย์ซึ่งลดลงตามสภาวะตลาดทุน

ขณะที่ค่าธรรมเนียมจากบริการประกันผ่านธนาคารและบริการกองทุนรวมเพิ่มขึ้น ทำให้สัดส่วนรายได้ดอกเบี้ยสุทธิและสัดส่วนรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยต่อรายได้จากการดำเนินงานยังคงอยู่ที่ประมาณ 57% และ 43% ซึ่งอยู่ในระดับใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นผลจากความตั้งใจในการกระจายแหล่งที่มาของรายได้

สำหรับอัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้จากการดำเนินงานอยู่ที่ 45.3%
ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2562 ธนาคารมีเงินให้สินเชื่อจำนวน 2,017,314 ล้านบาท ลดลงเล็กน้อยจากไตรมาสก่อน เป็นการลดลงของสินเชื่อลูกค้าธุรกิจและสินเชื่อกิจการต่างประเทศ

สำหรับอัตราส่วนเงินให้สินเชื่อด้อยคุณภาพต่อเงินให้สินเชื่อรวมอยู่ที่ 3.5% อยู่ในระดับเดียวกับไตรมาสที่ผ่านมา โดยธนาคารยังคงให้ความสำคัญกับการดูแลกระบวนการอำนวยการสินเชื่อ พร้อมทั้งบริหารคุณภาพสินเชื่อควบคู่กับการดำรงค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม อัตราส่วนค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญต่อเงินให้สินเชื่อด้อยคุณภาพอยู่ที่ 185.8%

ธนาคารยังคงรักษาสภาพคล่องและเงินกองทุนให้อยู่ในระดับที่สามารถรองรับการขยายธุรกิจในอนาคต โดย ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2562 เงินรับฝากมีจำนวน 2,352,679 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.5% อัตราส่วนเงินให้สินเชื่อต่อเงินรับฝากอยู่ที่ 85.7% ด้านเงินกองทุน หากนับกำไรสุทธิสำหรับงวด 6 เดือน สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2562 รวมเข้าเป็นเงินกองทุน อัตราส่วนเงินกองทุนทั้งสิ้น อัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 ที่เป็นส่วนของเจ้าของ และอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 ต่อสินทรัพย์เสี่ยงของธนาคารและบริษัทย่อยจะอยู่ในระดับประมาณ 19.1% 17.6% และ 17.6% ตามลำดับ ซึ่งอยู่ในระดับที่สูงกว่าอัตราส่วนเงินกองทุนขั้นต่ำตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด