เลือกตั้งมีผลต่อเครดิต

ฟิทช์ เรทติ้งส์ ออกโรงเตือนหากการเมืองไทยร้อนแรงจนส่งผล กระทบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจจะเสี่ยงถูกลดเครดิต ด้านซีแอลเอสเอแนะให้รอ

ฟิทช์ เรทติ้งส์ ออกมาเปิดเผยว่า การทบทวนอันดับความน่าเชื่อถือของไทยเมื่อเดือน ธ.ค.ปีที่ผ่านมา ได้นำปัจจัยเสี่ยงทางการเมืองของไทยที่จะเกิดจากการเปลี่ยนผ่านจากรัฐบาลทหารไปสู่รัฐบาลพลเรือนภายหลังการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 24 มี.ค.นี้ไปพิจารณาแล้ว

อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่มีความเสี่ยงทางการเมืองครั้งใหม่หากเกิดความรุนแรงจนกระทบต่อแนวโน้มเศรษฐกิจของไทย จะส่งผลให้อันดับความน่าเชื่อถือของไทยได้รับผลกระทบตามไปด้วย

ทั้งนี้ ปัจจุบันอันดับความน่าเชื่อถือของไทยที่ระดับ BBB+ และอาจได้รับผลกระทบ กรณีความเสี่ยงทางการเมืองรุนแรงขึ้นจนถึงระดับที่จะส่งผล กระทบเชิงลบต่อแนวโน้มเศรษฐกิจ

นอกจากนี้ ฟิทช์ยังคงมุมมองในระดับปกติว่า การเลือกตั้งของไทยจะดำเนินไปอย่างราบรื่น แม้ยังกังวลว่าผลของการเลือกตั้งยังคงมีความไม่แน่นอนสูง และความเสี่ยงที่ความไร้เสถียรภาพทางการเมืองจะเกิดขึ้นในระหว่างที่อำนาจทางการเมืองกลับคืนสู่รัฐบาลพลเรือนจะเพิ่มสูงขึ้น ขณะที่การเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ หรือจีดีพีของไทยน่าจะขยายตัว 4.1% สูงสุดนับแต่ปี 2012 และคาดว่าจีดีพีไทยในปีนี้จะขยายตัวในอัตรา 3.7% คาดว่าความต้องการบริโภคในประเทศที่ขยายตัวได้ดีจะชดเชยการชะลอตัวของภาคส่งออก ส่วนการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดลดลงมาอยู่ที่ 5.7% จาก 7.5% ของจีดีพีในปี 2561 สูงกว่าประเทศที่ได้รับอันดับที่ระดับ BBB ด้วยกัน

นายคริส วู้ด นักกลยุทธ์ของซีแอลเอสเอ แนะนำไม่ให้นักลงทุนซื้อหุ้นไทยเนื่องจากความไม่แน่นอนในช่วงก่อนการเลือกตั้งจะเพิ่มขึ้นอีก และการมีรัฐบาลใหม่ที่มีเสถียรภาพหลังเลือกตั้งจะช่วยหนุนผลตอบแทนของนักลงทุนต่างชาติ หลังจากที่มีการถอนการลงทุนจนมีฐานะสุทธิขายในปีก่อน

"กำลังรอดูว่าหลังการเลือกตั้งจะมีปัญหาอะไรเกิดขึ้นหรือไม่ การเลือกตั้งครั้งนี้ไม่ใช่สถานการณ์ปกติ" นายคริส กล่าว

นักลงทุนต่างชาติขายหุ้นไทยต่อเนื่องนับตั้งแต่ต้นเดือน มี.ค. ถึงปัจจุบันขาย 11,921 ล้านบาท