posttoday

คลังยังดันควบรวมทหารไทย-ธนชาต

19 กุมภาพันธ์ 2562

คลังไม่ล้มดีลควบรวมธนาคารทหารไทย-ธนชาต แม้การเจรจา 2 ฝ่าย ไม่มีความคืบหน้าใดๆ

คลังไม่ล้มดีลควบรวมธนาคารทหารไทย-ธนชาต แม้การเจรจา 2 ฝ่าย ไม่มีความคืบหน้าใดๆ

แหล่งข่าวกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า แผนการควบรวมการควบธนาคารทหารไทยที่กระทรวงการคลังถือหุ้น 25.9% กับธนาคารธนชาต ยังดำเนินการต่อเนื่อง ทางสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) ที่ดูแลเรื่องหลักทรัพย์ของรัฐ ได้ทำการเจรจากับผู้ถือหุ้นทั้งสองธนาคาร เพื่อสรุปในรายละเอียดการรวมกันเป็นแบงก์ใหม่ แต่ยังไม่ได้รายงานผลล่าสุดให้นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รมว.คลัง รับทราบ แม้ว่าสัปดาห์ที่ผ่านมาธนาคารทหารไทยได้มีการประชุมกรรมการพิจารณาเรื่องนี้ เนื่องจากยังสรุปไม่ได้ว่าคลังจะเข้าไปซื้อหุ้นในแบงก์ใหม่ที่จะเกิดขึ้นจากควบรวมขึ้นหรือไม

"ตอนนี้แผนการควบรวมทั้งสองธนาคารยังไม่ล้ม เพราะว่ามีความเป็นไปได้ในทางปฏิบัติ และคลังยังตั้งเป้าหมายไว้เหมือนเดิมให้การควบรวมสำเร็จภายในรัฐบาลชุดนี้" แหล่งข่าวเปิดเผย

แหล่งข่าวเปิดเผยว่า ขณะนี้ทีมงาน สคร.อยู่ระหว่างการสรุปว่าจะต้องซื้อขายหุ้นเพิ่มทุนหรือไม่ หรือมีเงื่อนไขอะไรที่ตามระเบียบจะต้องนำเข้าให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบก่อนที่ทั้งธนาคารทั้งสองแห่งจะมีการลงนามบันทึกความเข้าใจ (เอ็มโอยู) การควบรวม ซึ่งยังจะต้องดูรายละเอียดเงื่อนไขในการเจรจาต่อสุดท้ายที่ออกมา

แหล่งข่าวเปิดเผยต่อไปว่า ประเด็นที่ทำให้การเจรจาไม่คืบไปไหน ก็คือ หลังจากควบรวมกิจการแล้ว อาจจะต้องมีการเพิ่มทุนจดทะเบียนธนาคาร ซึ่งทาง นายอภิศักดิ์มีนโยบายชัดเจนว่ากระทรวงการคลังจะไม่เพิ่มทุนให้กับธนาคารใหม่ เพราะเป็นเรื่องของเอกชนหารือกัน และการควบรวมจะต้องไม่ทำให้กระทรวง การคลังเสียหาย

"จะเป็นเรื่องที่คลังต้องตอบคำถามสาธารณชนมาก และอาจจะถูกตรวจสอบ หากเพิ่มทุนให้ธนาคารพาณิชย์ที่เป็นของเอกชน แทนที่จะใช้เงินรัฐไปเพิ่มทุนให้รัฐวิสาหกิจที่ประสบปัญหาขาดทุนและต้องเข้าไปฟื้นฟูกิจการอีกหลายแห่ง และไม่ชัดเจนว่าการที่จะดันให้ธนาคาร 2 แห่งมีขนาดใหญ่ขึ้นและกระทรวงการคลังจะได้อะไรจากการนี้" แหล่งข่าวเปิดเผย

ทั้งนี้ กระทรวงการคลังมีนโยบายให้ธนาคารพาณิชย์ขนาดเล็กมีการควบรวมให้มีขนาดใหญ่มากขึ้น เป็นการลดต้นทุนเพื่อที่จะมีความสามารถในการแข่งขัน และมีการลงทุนนวัตกรรมและการแข่งขันด้านการตลาดใหม่ ที่เน้นบริหารผ่านเทคโนโลยีซึ่งจะต้องใช้เงินลงทุนเรื่องระบบจำนวนมาก