ยกระดับแผนชำระเงิน ธปท.ใช้ดิจิทัลเพย์เมนต์ฉบับที่ 4
ธปท.ประกาศแผนพัฒนาระบบชำระเงินระยะที่ 4 วางกรอบ 5 ด้าน ยกระดับมาตรฐานสู่สากลให้พร้อมเชื่อมโยงกับต่างประเทศ
ธปท.ประกาศแผนพัฒนาระบบชำระเงินระยะที่ 4 วางกรอบ 5 ด้าน ยกระดับมาตรฐานสู่สากลให้พร้อมเชื่อมโยงกับต่างประเทศ
นายวิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า แผนพัฒนาระบบชำระเงินระยะที่ 4 จะเริ่มใช้ตั้งแต่ปี 2562-2564 โดยมีเป้าหมายให้ดิจิทัลเพย์เมนต์เป็นทางเลือกหลักการชำระเงินของประชาชนและธุรกิจ โดยมีกรอบพัฒนา 5 ด้าน ได้แก่ เชื่อมโยงได้ทุกวงด้วยมาตรฐาน ISO 20022 ส่งเสริมนวัตกรรมใหม่ ตอบโจทย์ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ มีภูมิคุ้มกันรับความต้องการใช้ที่เพิ่มและความเสี่ยงต่างๆ และเชื่อมโยงข้อมูลการชำระเงินเพื่อให้เกิดประโยชน์
น.ส.สิริธิดา พนมวัน ณ อยุธยา ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายระบบการชำระเงินและเทคโนโลยีทางการเงิน ธปท. กล่าวว่า ในแผน 4 เป็นการทำงานที่ต่อเนื่องจากแผน 3 โดยสิ่งสำคัญ คือ การสร้างความมั่นคงให้ระบบชำระเงิน และสร้างมาตรฐานสากล ISO 20022 ที่พัฒนาการชำระเงิน ข้อมูลเพื่อต่อยอดการทำธุรกิจ การเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนของภาคธุรกิจ ซึ่งเตรียมตั้งคณะทำงานขึ้นมาเพื่อดูแล ซึ่งจะมีทั้งสถาบันการเงินและภาคธุรกิจเข้าร่วมและยกระดับมาตรฐานโดยเฉพาะ เนื่องจากขณะนี้การให้บริการหน้าบ้านเป็นดิจิทัลก็จริง แต่ระบบหลังบ้านยังเป็น กระดาษอยู่ ต้องทำให้ธุรกรรมทั้งหมดเป็นดิจิทัลโดยสมบูรณ์
ด้านความคืบหน้าการทดสอบเทคโนโลยียืนยันตัวตนอิเล็กทรอนิกส์ (อี-เควายซี) ในแซนด์บ็อกซ์ มีสถาบันการเงิน 10 ราย ร่วมทดสอบในการนำไบโอเมตริกส์มาใช้ยืนยันตัวตน ซึ่งจะออกใช้เมื่อใด ต้องรอผลการทดสอบให้มีความมั่นใจ ควบคู่ไปกับการให้กฎหมายเนชั่นดิจิทัลไอดีมีผลบังคับใช้ ล่าสุด สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ได้ผ่านร่าง พ.ร.บ.การพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัล (พ.ร.บ.ดิจิทัล ไอดี) เมื่อวันที่ 14 ก.พ.นี้
นายปรีดี ดาวฉาย ประธานสมาคมธนาคารไทย กล่าวว่า ธนาคารได้ร่วมกันเร่งแก้ไขปัญหาการโอนเงินผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ รองรับการโอนเงินที่เพิ่มขึ้นมาก
