posttoday

ซุปเปอร์ริชเทรด"คริปโท"

24 กันยายน 2561

ซุปเปอร์ริชสีส้ม ยื่น ก.ล.ต.เป็นนายหน้าซื้อขายคริปโทเคอเรนซี พร้อมศึกษาการออกไอซีโอ เดินหน้าจดทะเบียนเอ็ม เอ ไอ ใน 3 ปี

ซุปเปอร์ริชสีส้ม ยื่น ก.ล.ต.เป็นนายหน้าซื้อขายคริปโทเคอเรนซี พร้อมศึกษาการออกไอซีโอ เดินหน้าจดทะเบียนเอ็ม เอ ไอ ใน 3 ปี

นายปิยะ ตันติเวชยานนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซุปเปอร์ริช เคอเรนซี่เอ็กซ์เชนจ์ (1965) เปิดเผยว่า บริษัทอยู่ระหว่างพูดคุยกับคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อยื่นขอเป็นนายหน้าหรือคนกลางรับซื้อ-ขายสินทรัพย์ดิจิทัล (คริปโทเคอเรนซี) โดยจากการพูดคุยกับ ก.ล.ต.ไปแล้ว 2 ครั้ง เห็นโอกาสเป็นไปได้สูง เนื่องจากบริษัทมีประสบการณ์จากธุรกิจรับแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศไม่น้อยกว่า 34 สกุล ที่นำมาปรับใช้ในการเป็นนายหน้าซื้อ-ขายคริปโทเคอเรนซีได้

นอกจากนี้ บริษัทได้ศึกษาแนวทางการระดมทุนผ่านการออกเหรียญดิจิทัล (ไอซีโอ) ว่ามีความเป็นไปได้ในธุรกิจหรือไม่ ขณะนี้รอกฎหมายสินทรัพย์ดิจิทัลมีความชัดเจนและศึกษากฎระเบียบของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ถึงขอบเขตที่สามารถทำได้ ซึ่งทั่วโลกเดินหน้าไปทางเงินดิจิทัลอย่างญี่ปุ่นยอมรับให้เหรียญดิจิทัลเป็นส่วนหนึ่งของเงินตรา สหรัฐมีการใช้เหรียญดิจิทัลแพร่หลาย เช่น เงินสกุลบิตคอยน์เป็นที่รู้จักกันดี

อย่างไรก็ดี เทคโนโลยีพัฒนาไปเร็วมาก บริษัทจึงเร่งศึกษานวัตกรรมใหม่ๆ นำเข้ามาใช้ในธุรกิจรับแลกเปลี่ยนเงินตราได้ในอนาคต เช่น การทำอี-วอลเล็ต บล็อกเชน ที่เชื่อว่าจะกระทบกับตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราอย่างมหาศาล เพราะไม่จำเป็นต้องมีเงินสดแล้ว แต่เป็นเรื่องที่ดีที่ทำให้เกิดการตรวจสอบได้บนเทคโนโลยีใหม่ เพื่อไม่ให้ใครใช้ซุปเปอร์ริชเป็นแหล่งก่ออาชญากรรมหรือฟอกเงิน

นายปิยะ กล่าวว่า เป้าหมายหลักที่เดินหน้าต่อคือ การเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ เพื่อให้บริษัทดำเนินธุรกิจภายใต้มาตรฐาน สร้างความเชื่อมั่น มีโอกาสเติบโตเร็ว ในต้นทุนถูก โดยบริษัทเตรียมตัวมาสักระยะหนึ่งแล้ว และขณะนี้กำลังหาที่ปรึกษาทางการเงิน แต่คาดว่าต้องใช้เวลาเนื่องจากข้อกฎหมายยังไม่นิ่งทั้งกฎหมายธนาคารแห่งประเทศไทย กฎหมายป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน และต้องอิงกฎหมายสากลด้วย ประเมินว่าจะสามารถเข้าจดทะเบียนตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ได้ภายใน 3 ปี

สำหรับเงินทุนที่ใช้พัฒนาระบบและซอฟต์แวร์ต่างๆ นำมาจากอัตรากำไรของบริษัทในแต่ละปี จึงทำให้การพัฒนาเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไปไม่เร็วนัก ระหว่างนี้มองหาพันธมิตรทั้งในและต่างประเทศเข้ามาร่วมพัฒนาธุรกิจด้วย เบื้องต้นมีการพูดคุยกับพันธมิตรจากมาเลเซีย อังกฤษและลาว

สำหรับปี 2561 บริษัทตั้งเป้ากำไรสุทธิเติบโต 10% จากปีก่อนที่มีกำไร 60 ล้านบาท ซึ่งภาพรวมการซื้อขายเงินตราปีนี้คาดว่าจะสูงถึง 1.2 แสนล้านบาท โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากนักท่องเที่ยวเติบโตได้ดี ส่วนค่าเงินบาทที่ผันผวนไม่ได้ส่งผลกระทบมาก ตรงกันข้ามดีกับธุรกิจแลกเงินที่ถูกห้ามค้ากำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน โดยมีรายได้จากการหมุนเวียนซื้อมาขายไป