posttoday

เปิดจองบ้านคนไทยประชารัฐ ประเดิมจ.เชียงราย

17 กันยายน 2561

ธนารักษ์ทยอยเปิดจองสิทธิบ้านคนไทยประชารัฐ ประเดิมแห่งแรกที่เชียงราย และที่เหลืออีก 5 จังหวัด

ธนารักษ์ทยอยเปิดจองสิทธิบ้านคนไทยประชารัฐ ประเดิมแห่งแรกที่เชียงราย และที่เหลืออีก 5 จังหวัด

นายพชร อนันตศิลป์ อธิบดีกรมธนารักษ์ เปิดเผยว่า ขณะนี้กรมธนารักษ์สามารถเปิดประมูลหาผู้รับเหมาโครงการบ้านคนไทยประชารัฐแล้ว 6 พื้นที่ ประกอบด้วย จ.ชลบุรี ประจวบคีรีขันธ์ เชียงใหม่ เชียงราย ขอนแก่น และอุดรธานี และได้ทยอยให้ผู้มีรายได้น้อยถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐเข้ามาลงทะเบียนจองสิทธิในโครงการที่ จ.เชียงราย แล้ว และในปีหน้าจะเปิดประมูลโครงการบ้านคนไทยได้เพิ่มอีก 2 โครงการ คือ จ.ลำปาง และนครพนม รวมทั้ง 8 โครงการ มูลค่า 1,422 ล้านบาท

“ในการเปิดลงทะเบียนจองสิทธิโครงการบ้านคนไทยประชารัฐที่ จ.เชียงราย มีผู้มีรายได้น้อยและประชาชนทั่วไปแห่จองสิทธิเป็นจำนวนมาก ซึ่งส่วนใหญ่บอกว่ายังไม่มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง จึงอยากมีบ้านเพื่อลดภาระค่าเช่าบ้านในปัจจุบัน และให้ลูกหลานได้มีที่อยู่อาศัย” นายพชร กล่าว

น.ส.อมรรัตน์ กล่ำพลบ รองอธิบดีกรมธนารักษ์ กล่าวว่า โครงการบ้านคนไทยฯ ที่เชียงราย กรมได้จัดเตรียมพื้นที่ราชพัสดุใน ต.เวียง อ.เมือง จ.เชียงราย ประมาณ 3 ไร่ ซึ่งเป็น 1 ใน 8 โครงการที่จะดำเนินการในระยะแรก เบื้องต้นโครงการเฉพาะที่ จ.เชียงราย จะเป็นแบบห้องชุด 8 ชั้น มีไม่ต่ำกว่า 352 ยูนิต ราคา 3.5-7 แสนบาท ผ่อนชำระเดือนละ 2,000 กว่าบาท

“ขณะนี้มีเอกชนสนใจยื่นซองประมูล 7 ราย คาดว่าในช่วงวันที่ 20 ก.ย.นี้ จะได้ผู้ชนะประมูล หากเป็นไปตามกระบวนการจะใช้เวลาก่อสร้างประมาณ 1 ปี และเปิดเข้าอยู่อาศัยได้ โดยจะให้สิทธิประชาชนที่ถือบัตรสวัสดิการเป็นกลุ่มแรก จากนั้นจะให้ประชาชนที่มีรายได้ไม่เกิน 3.5 หมื่นบาท/เดือน และประชาชนทั่วไปตามลำดับ ซึ่งไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นบ้านหลังแรก แต่จะจำกัดสิทธิ 1 คน/1 สิทธิ ในทุกโครงการทั้ง 8 จังหวัดทั่วประเทศ” น.ส.อมรรัตน์ กล่าว

สำหรับประเภทที่อยู่อาศัยที่จะสร้างทั้ง 8 โครงการ จะมี 3 รูปแบบ คือ บ้านแฝด บ้านแถว และอาคารชุดพักอาศัย ราคาอยู่ที่ 3.5-7 แสนบาท/หน่วย โดยผู้เข้าร่วมโครงการนั้น ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) และธนาคารออมสิน กรมธนารักษ์ จะร่วมกันพิจารณาผู้ได้รับสิทธิเข้าร่วม และมีแนวทางให้ความช่วยเหลือประชาชนที่มีรายได้น้อย ส่วนมาตรการสินเชื่อ ธอส.และออมสินจะสนับสนุนวงเงินดำเนินโครงการดังกล่าว 4,000 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นสินเชื่อเพื่อพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย ดอกเบี้ยผ่อนปรนปี 1-3 ที่ 3% ต่อปี หลังจากนั้นเอ็มแอลอาร์ลบไม่เกิน 1% ต่อปี