ดึงธุรกิจโอนเงินพร้อมเพย์-ขยายเพดานชำระค่าสินค้าเอสเอ็มอี

ธปท.หนุนเอกชนก้าวสู่ระบบไร้เงินสด ลดต้นทุน พร้อมส่งสริมการค้าทั้งในและต่างประเทศ

น.ส.สิริธิดา พนมวัน ณ อยุธยา ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายระบบการชำระเงินและเทคโนโลยีทางการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ธปท.อยู่ระหว่างเตรียมขยายเพดานโอนเงินพร้อมเพย์ของภาคธุรกิจที่เป็นนิติบุคคลโดยเฉพาะผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) ให้สูงกว่า 7 แสนบาท/ครั้ง เพื่ออำนวยความสะดวกในการค้าขายได้คล่องตัวมากขึ้น ช่วยลดต้นทุนทางการเงินให้กับภาคธุรกิจ เพราะจำนวนเงินโอนแต่ละครั้งจะมีต้นทุนด้านค่าธรรมเนียมเข้ามาเกี่ยวข้อง

ทั้งนี้ ที่ผ่านมาได้เดินสายพบเอสเอ็มอีสำรวจความเห็นมาระยะหนึ่งแล้ว และจะมีการเดินสายต่อไปเพื่อให้ครอบคลุมทุกภาคธุรกิจ เพื่อเก็บข้อมูลว่า ควรจะขยายเพดานเพิ่มขึ้นเป็นเท่าไร จะได้นำข้อมูลความต้องการของผู้ประกอบการไปหารือกับธนาคารพาณิชย์ต่อไป โดยต้องการที่จะให้ได้ข้อสรุปภายในสิ้นปีนี้

“วันนี้แต่ละธนาคารจะมีเพดานการให้โอนเงินพร้อมเพย์ต่อครั้งไม่เท่ากัน บางแห่งให้สูงหลักล้านบาท แต่ส่วนใหญ่เฉลี่ยจะอยู่ประมาณ 7 แสนบาท ซึ่งได้รับเสียงสะท้อนมาว่าต้องการให้สูงกว่านี้” น.ส.สิริธิดา กล่าว

น.ส.สิริธิดา กล่าวว่า การขยายเพดานการโอนเงินนี้ ทางธนาคารจะมีต้นทุนและต้องใช้เวลาในการไปปรับระบบการโอนเงินใหม่ แต่จะได้ผลประโยชน์ร่วมกันในระยะยาว เพราะจะทำให้การค้าขายเกิดความคล่องตัว ส่งเสริมการค้าทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ เพิ่มจำนวนธุรกรรมมากขึ้น

ทั้งนี้ นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ธปท.จะเน้นพัฒนาบริการและผลิตภัณฑ์ทางการเงินสำหรับภาคธุรกิจมากขึ้น เพื่อให้การบริการโอนเงินระหว่างลูกค้าองค์กรมีความสะดวกรวดเร็ว ซึ่งประเทศต่างๆ ก็มุ่งไปในทิศทางเดียวกัน หากจะมองประเทศในภูมิภาคอาเซียน จะเห็นว่ามีประเทศสิงคโปร์เริ่มใช้แล้ว และประเทศมาเลเซียก็อยู่ระหว่างการทำระบบ ประเทศไทยเองก็เช่นกันเพื่อให้การโอนเงินได้สะดวก หลังจาก 2 ปีที่ผ่านมามุ่งไปที่ภาคประชาชนเป็นหลัก ขณะที่ก่อนหน้านี้สถาบันการเงินในไทย และบริษัท เนชั่นแนล ไอทีเอ็มเอ๊กซ์ ได้ร่วมกันพัฒนาบริการเรียกเก็บเงิน ผ่านระบบพร้อมเพย์เป็นบริการที่ช่วยให้ ร้านค้าและภาคธุรกิจ สามารถส่งข้อความแจ้งเตือนไปยังผู้ซื้อเพื่อขอให้ชำระเงินผ่านระบบพร้อมเพย์ของธนาคาร