posttoday

ตั้ง'ระเฑียร'คุมยาสูบ รื้อโครงสร้างครั้งใหญ่

28 กรกฎาคม 2561

"อภิศักดิ์" ดัน "ระเฑียร" นั่งประธานบอร์ด กยท.ปรับการบริหารงานครั้งใหญ่ รับการปรับเพิ่มขึ้นภาษีรอบใหม่ปีหน้า

"อภิศักดิ์" ดัน "ระเฑียร" นั่งประธานบอร์ด กยท.ปรับการบริหารงานครั้งใหญ่ รับการปรับเพิ่มขึ้นภาษีรอบใหม่ปีหน้า

แหล่งข่าวจากกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า การประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ล่าสุดได้เห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ เรื่องการแต่งตั้งคณะกรรมการการยาสูบแห่งประเทศไทย (กยท.) ชุดใหม่ โดยให้นายระเฑียร ศรีมงคล ประธานบริษัท บัตรกรุงไทย (เคทีซี) เป็นประธานกรรมการ กยท. คนใหม่

"นายระเฑียร ถือเป็นผู้บริหารเงินที่มีความสามารถและใกล้ชิดกับนายอภิศักดิ์ ซึ่งก่อนหน้านี้นายอภิศักดิ์ เคยผลักดันให้นั่งเป็นกรรมการผู้จัดการธนาคารกรุงไทย แต่นายระเฑียร นั่งเป็นผู้บริหารประธานบริษัท บัตรกรุงไทย ซึ่งเป็นบริษัทลูกของธนาคารกรุงไทย ทำให้ขัดคุณสมบัติเป็น ไม่ได้ตามระเบียบของกระทรวงการคลัง ซึ่งการที่นายอภิศักดิ์ ผลักดันให้นายระเฑียร มานั่งเป็นประธาน กยท. ครั้งนี้ ถือเป็นเรื่องไม่ง่ายและต้องใช้ความพยายามอย่างมาก" แหล่งข่าวระบุ

ทั้งนี้ นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รมว.คลัง ต้องการให้นายระเฑียร เข้าไปแก้ไขปัญหาการดำเนินการของ กยท. เป็นการเร่งด่วน หลังจากแปลงสภาพเป็นนิติบุคคล และที่ผ่านมามีการปรับเพิ่มอัตราภาษีบุหรี่เพิ่มสูงขึ้น ทำให้ยอดขายบุหรี่ลดลง จนทำให้ผลกำไรที่เคยมีจำนวนมากกลายเป็นขาดทุนในอนาคต

อย่างไรก็ตาม นายอภิศักดิ์ เชื่อว่า กยท.ยังมีศักยภาพที่จะแข่งขันได้ แต่ที่ผ่านมาฝ่ายบริหารยังปรับตัวช้า และกดดันให้คลังแก้ไขกฎหมายสรรพสามิตให้กลับไปเก็บภาษีแบบเดิม หรือขยายเวลาการขึ้นภาษีรอบใหม่ไปโดยไม่มีกำหนด ซึ่งนายอภิศักดิ์ ไม่เห็นด้วยจึงได้มีการขอ ครม. เปลี่ยนคณะกรรมการใหม่ทั้งชุด และส่งนายระเฑียร เข้าไปเป็นประธานเพื่อดูเรื่องการปรับโครงสร้างการบริหารงาน การบริหารทางการเงินและการบริหารการตลาดของ กยท.ทั้งหมด

ปัจจุบันอัตราภาษีบุหรี่เก็บตามปริมาณ 1.20 บาท/มวน และตามมูลค่า 20% สำหรับบุหรี่ราคาซองละไม่เกิน 60 บาท และ 40% สำหรับบุหรี่ที่ราคาเกินซองละ 60 บาท และในวันที่ 1 ต.ค. 2562 จะเก็บตามมูลค่าเป็นอัตราเดียวกันหมดที่ 40% ซึ่งหาก กยท.ไม่เร่งปรับโครงสร้างการบริหาร การเงิน และการตลาดเสียใหม่ตั้งแต่วันนี้จะทำให้เกิดปัญหาขึ้นในอนาคต

นอกจากนี้ กยท.ได้แจ้งผลการดำเนินงานปี 2560 มีกำไร 9,000 ล้านบาท และคาดว่าในปี 2561 จะขาดทุน 1,500 ล้านบาท แต่ผลประกอบการจริงในรอบครึ่งปีแรกของปีงบประมาณ 2561 มีกำไร 588 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อน 88% ที่มีกำไร 4,723 ล้านบาท โดย กยท. มีส่วนแบ่งการตลาดถึง 60% แต่กำไรต่อซองลดลง จากเดิม 7 บาท เหลือเพียง  10  สตางค์

ทั้งนี้ ล่าสุด กยท.ยังได้ทำเรื่องขอคลังจ่ายโบนัสให้กับพนักงานสำหรับผลการดำเนินงานปี 2560 จำนวน 4 เดือน หลังจากที่ยอมรับซื้อใบยาสูบจากชาวไร่ ตามที่กระทรวงการคลังสั่งเพื่อไม่ให้เกษตรกรได้รับความเดือดร้อน หลังจากที่ก่อนหน้านี้ กยท.ประกาศไม่รับซื้อ

ด้าน นายกฤษณ์ ผาทอง นายกสมาคมผู้บ่มผู้เพาะปลูกและผู้ค้าใบยาสูบเชียงใหม่ กล่าวว่า หากภายในสิ้นเดือนนี้ กยท.ยังไม่มีความชัดเจนเรื่องการซื้อใบยาสูบจากชาวไร่ ทางตัวแทนจะรวมตัวกันเพื่อขอพบผู้บริหาร กยท. เพื่อขอคำชี้แจงในเรื่องดังกล่าว เพราะจะต้องเริ่มกระบวนการเพาะปลูกแล้ว