เร่งดันกบช.เพิ่มเงินสมทบ30%

คลังจับมือจุฬาฯ ทำวิจัยเล็งเสนอรัฐออกมาตรการช่วยผู้สูงอายุเพิ่ม เร่งคลอดกบช.ปีนี้ เตรียมขยายเพดานส่งเงินสมทบเป็น 30%

นายสุวิชญ โรจนวานิช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เปิดเผยว่า สศค.ได้ลงนามในข้อตกลงความร่วมมือการวิจัยเพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับสังคมสูงวัยกับวิทยาลัยประชากรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพื่อเตรียมเสนอมาตรการรองรับสังคมผู้สูงอายุต่อรัฐบาลให้ครอบคลุม

ทั้งนี้เนื่องจากมาตรการที่มีอยู่ในปัจจุบันอาจยังไม่เพียงพอ เช่น มาตรการส่งเสริมการจ้างงานผู้สูงอายุ โดยใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีหักรายจ่ายค่าจ้างผู้สูงอายุ 2 เท่า ซึ่งที่ผ่านมายังไม่มีบริษัท นิติบุคคล ใช้สิทธิมาตรการนี้มากนัก

นอกจากนี้ รัฐบาลยังอยู่ระหว่างการร่าง พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร เพื่อเพิ่มค่าลดหย่อนบุตรคนที่ 2 ของผู้มีเงินได้ ให้หักลดหย่อนได้เพิ่มอีก 3 หมื่นบาท/คน/ปีภาษี เพื่อส่งเสริมให้มีบุตรมากขึ้น ซึ่งจะเป็นการสร้างฐานภาษีในอนาคต

ในขณะเดียวกันสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน หรือ ก.พ. อยู่ระหว่างการศึกษาเรื่องขยายระยะเวลาการเกษียณของข้าราชการและพนักงานรัฐวิสาหกิจจาก 60 ปีออกไป

นายวโรทัย โกศลพิศิษฐ์กุล ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการคลัง สศค. กล่าวว่า ร่างพระราชบัญญัติกองทุนบำเหน็จบำนาญแห่งชาติ (กบช.) คาดว่าจะผ่านการพิจารณาจากสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) และมีผลบังคับใช้ภายในปีนี้ และเตรียมเสนอให้มีการขยายเพดานส่งเงินสมทบเข้ากองทุนของสมาชิกจากที่กำหนดไว้ไม่เกิน 10% เป็น 30% ของเงินเดือน เหมือนกรณีของกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) ได้

ทั้งนี้ กบช.จะเปิดให้ลูกจ้างเอกชน ลูกจ้างชั่วคราวส่วนราชการ พนักงานราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจและเจ้าหน้าที่องค์การมหาชนอายุระหว่าง 15-60 ปี นำส่งเงินสมทบเข้ากองทุนในอัตราเท่ากัน โดยในปีที่ 1-3 ปีที่ 4-6 ปีที่ 7-9 จ่ายเงินสะสม และนายจ้างจ่ายเงินสมทบฝ่ายละไม่น้อยกว่า 3%, 5%, 7% และในปีที่ 10 เดิมกำหนดให้สมทบได้ไม่เกิน 10% ของค่าจ้าง อาจจะขยายเพดานเป็น 30% ส่วนกรณีลูกจ้างที่ได้รับค่าจ้างต่ำกว่า 1 หมื่นบาท/เดือน จะให้นายจ้างเป็นผู้ส่งเงินสมทบฝ่ายเดียว และเมื่ออายุครบ 60 ปี ลูกจ้างจะได้รับผลตอบแทนเป็นบำเหน็จหรือบำนาญรายเดือน