กรมบังคับคดีตั้งทีมศึกษายึดอายัด"ทรัพย์ดิจิทัล"

บังคับคดีเผยตั้งคณะทำงานเร่งศึกษาสกุลเงินดิจิทัล ชี้ตาม กม.ยังไม่ถือเป็นเงินที่ใช้ชำระหนี้ เป็นทรัพย์ที่ไม่มีรูปร่าง จับต้องไม่ได้ ยากต่อการยึด-อายัด

น.ส.รื่นวดี สุวรรณมงคล อธิบดีกรมบังคับคดี เปิดเผยความคืบหน้าการใช้กฎหมายบังคับคดีสกุลเงินดิจิทัลว่าขณะนี้กรมบังคับคดีได้พัฒนาระบบการทำงานโดยนำระบบเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้กับการทำงานของเจ้าพนักงานบังคับคดีเพื่อให้เป็นไปตามนโยบายรัฐบาลเพื่อพัฒนา Thailand 4.0 ในเรื่องสกุลเงินดิจิทัล

สำหรับกรมบังคับคดีได้ตั้งคณะทำงานเพื่อศึกษาวิจัยและกำหนดโครงการศึกษาวิจัยในเรื่องดังกล่าวแล้วหลายประเด็น โดยต้องพิจารณาว่าสกุลเงินดิจิทัลถูกใช้เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนเช่นเดียวกับเงินตราหรือไม่ (Tradable/exchangeable) เนื่องจาก บิตคอยน์ (Bitcoin) อีเธอร์เลียม (Ethereum) ริปเปิล (Ripple) แดช (Dash )ยังเป็นเพียงหน่วยข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ ยังไม่มีรูปร่างและไม่สามารถจับต้องได้ อีกทั้งสกุลเงินดิจิทัลยังไม่ถือเป็นเงินที่ใช้ชำระหนี้ได้ตามกฎหมายไทย ดังนั้นจึงไม่ถือเป็นเงินตรา

อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาพบว่าประชาชนมีการซื้อขายและลงทุนในสกุลเงินดิจิทัลและมีการระดมทุน (ไอซีโอ) สกุลเงินดิจิทัล คริปโตเคอเรนซีจำนวนมาก โดยขณะนี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในกระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) อยู่ระหว่างการพิจารณากำหนดหลักเกณฑ์ต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งวิธีการจัดเก็บภาษีอากรด้วย

น.ส.รื่นวดี กล่าวว่า สกุลเงินดิจิทัลยังเป็นเพียงหน่วยข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ ดังนั้นการจะกำหนดให้จำเลย (ลูกหนี้) ส่งมอบรหัสผ่าน (Password) หรือกุญแจของบัญชี (E-Wallet) หรือส่งมอบสิ่งใดตรงนี้ยังมีข้อถกเถียงว่าหากมีการขายทอดตลาดเงินดิจิทัลจะประเมินมูลค่าของเงินดิจิทัลอย่างไร

ทั้งนี้ เนื่องจากสภาพมูลค่าของเงินดิจิทัลมีความผันแปรสูงมาก และสามารถเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วตลอดเวลา และหากโจทก์ตามคำพิพากษาแจ้งว่า จากการสืบทรัพย์ของจำเลย (ลูกหนี้) พบว่าจำเลย (ลูกหนี้) มีสินทรัพย์ดิจิทัลสกุลเงินดิจิทัลในส่วนของเจ้าพนักงานบังคับคดีจะดำเนินการบังคับคดีอย่างไร ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญที่ทำให้กรมบังคับคดีจากประเทศต่างๆ ทั่วโลกต่อไปกำลังหารือกันอยู่