posttoday

แบงก์กรุงไทยจุกหนี้เสียพุ่ง เร่งปรับพอร์ตกระจายความเสี่ยง

26 เมษายน 2561

กรุงไทยเผยไตรมาสแรกสินเชื่อหด เหตุสหกรณ์รีไฟแนนซ์ออกไป แต่ยังคงเป้าหมายเติบโต 4-6% ยอมรับหนักใจเอ็นพีแอลลูกหนี้เก่า

กรุงไทยเผยไตรมาสแรกสินเชื่อหด เหตุสหกรณ์รีไฟแนนซ์ออกไป แต่ยังคงเป้าหมายเติบโต 4-6% ยอมรับหนักใจเอ็นพีแอลลูกหนี้เก่า

นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ในช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมาผลประกอบการไม่เป็นอย่างที่คาด ซึ่งยังคงมีปัญหามาจากหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) กลุ่มลูกค้ารายเก่า เช่น โรงสีข้าว และกลุ่มที่เคยมีปัญหามาก่อนหน้านี้แล้ว

อย่างไรก็ตาม ธนาคารได้แบ่งการดูแลเป็น 3 ขั้นตอน คือ เขียว เหลือง แดง มีระดับการดูแลที่ต่างกัน ซึ่งสีแดงเป็นกลุ่มที่ต้องดูแลอย่างใกล้ชิด และมีโอกาสเป็นเอ็นพีแอลย้อนกลับ อาทิ กลุ่มสินค้าเกษตรบางตัว เช่น มันสำปะหลัง เป็นต้น รวมถึงกลุ่มธุรกิจที่มีความอ่อนแอต้องปรับโครงสร้างหนี้อยู่ตลอด ซึ่งพอร์ตของกลุ่มนี้มีเป็นจำนวนมาก และมีระยะเวลาค้างชำระมานาน ซึ่งจะต้องปรับโครงสร้างหนี้ต่อไป เพราะขายพอร์ตหนี้ออกไปไม่ได้

สำหรับสินเชื่อ ณ สิ้นไตรมาสแรกที่ลดลงนั้นเป็นผลมาจากการลดลงของเงินกู้จากสหกรณ์จากเดิมที่มี 1.2 แสนล้านบาท ปัจจุบันเหลือไม่ถึง 8 หมื่นล้านบาท เนื่องจากกลุ่มสหกรณ์ได้มีการรีไฟแนนซ์ออกไป

ประกอบกับธนาคารได้มีการปรับสัดส่วนสินเชื่อให้มีการกระจายความเสี่ยงให้สอดคล้องกับผลตอบแทนมากขึ้น ซึ่งโดยปกติแล้วหากความเสี่ยงสูงก็ควรได้ผลตอบแทนสูง แต่ที่ผ่านมาพอร์ตสินเชื่อบางรายการมีความเสี่ยงสูงแต่กลับให้ผลตอบแทนต่ำ

นอกจากนี้ ก็มีการเพิ่มพอร์ตสินเชื่อเอสเอ็มอีมากขึ้น ซึ่งกลุ่มนี้ก็เติบโตมีคุณภาพ ขณะเดียวกันก็มีลูกค้าใหม่ๆ ในพอร์ตสินเชื่อบ้าน แต่เนื่องจากกลุ่มนี้มีการแข่งขันสูง จึงมีผลทำให้อัตราผลตอบแทนสุทธิต่อสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดรายได้ (นิม) ลดลงไปด้วย

อย่างไรก็ตาม ธนาคารยังไม่มีการปรับเป้าหมายสินเชื่อรวมที่ตั้งไว้ 4-6% ซึ่งจะต้องรอดูภาวะเศรษฐกิจและการลงทุนในช่วงที่เหลือของปีประกอบด้วย ขณะที่การตั้งสำรองธนาคารยังตั้งเป้าไม่ให้ต่ำกว่า 110% จากปัจจุบันอยู่ที่ 120% โดยธนาคารยังดำรงเงินกองทุนให้อยู่ในระดับเหมาะสม เพื่อไม่ให้กระทบต่อผลการดำเนินงาน

นายชาติศิริ โสภณพนิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ กล่าวว่า ผลการดำเนินงานในไตรมาสแรกยังเป็นไปตามเป้าหมาย แม้ว่าเอ็นพีแอลและการตั้งสำรองจะสูงขึ้น แต่ก็เป็นไปตามที่ธนาคารคาดไว้ ซึ่งเชื่อว่าจะสามารถบริหารจัดการให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมได้