posttoday

ตั้ง "ไทยแลนด์ฟันด์" ฉลุย! คลังมั่นใจศาลปกครองสูงสุดไฟเขียว

19 มีนาคม 2561

คลังมั่นใจกองทุนทีเอฟเอฟไม่สะดุดซ้ำซาก ระดมเงินก้อนแรก 4.4 หมื่นล้านกลางปีนี้

คลังมั่นใจกองทุนทีเอฟเอฟไม่สะดุดซ้ำซาก ระดมเงินก้อนแรก 4.4 หมื่นล้านกลางปีนี้

แหล่งข่าวจากกระทรวงการคลังเปิดเผยว่า การจัดตั้งกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทย (ทีเอฟเอฟ) หรือไทยแลนด์ฟิวเจอร์ฟันด์ วงเงิน 1 แสนล้านบาท ในส่วนของการระดมทุน 4.4 หมื่นล้านบาท จะไม่ล่าช้าไปกว่ากลางปีนี้ หลังจากที่ต้องเลื่อนมาหลายครั้งตั้งแต่ปลายปี 2560 เนื่องจากสหภาพแรงงานการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) ไปยื่นฟ้องศาลปกครองกลางให้พิจารณายกเลิกจัดตั้งกองทุนทีเอฟเอฟ

อย่างไรก็ตาม ศาลปกครองกลางได้พิจารณาไม่รับฟ้อง แต่ทางสหภาพได้ยื่นอุทธรณ์ศาลปกครองสูงสุดให้ชี้ขาด ซึ่งกระทรวงการคลังมั่นใจว่าศาลปกครองสูงสุดจะยืนตามคำตัดสินของศาลปกครองกลาง เพราะการอุทธรณ์ไม่ได้มีประเด็นข้อมูลหรือข้อกฎหมายใหม่ ทำให้การเดินหน้าตั้งกองทุนทีเอฟเอฟจะไม่สะดุดล่าช้าไปกว่าเดิมอีก

แหล่งข่าวเปิดเผยว่า ขณะนี้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) ที่ได้ดำเนินการจัดตั้งกองทุนทีเอฟเอฟอย่างต่อเนื่อง ตอนนี้รอสำนักงานอัยการตรวจสอบร่างสัญญาโอนและรับสิทธิโอนในรายได้ (อาร์ทีเอ) โครงการทางพิเศษฉลองรัช (รามอินทรา-อาจณรงค์) และทางพิเศษบูรพาวิถี (บางนา-ชลบุรี) เพื่อโอนรายได้ในอนาคตที่ 45% ให้กับกองทุนไทยแลนด์ฟิวเจอร์ฟันด์เป็นเวลา 30 ปี เพื่อใช้จ่ายผลตอบแทนให้กับนักลงทุน ซึ่งล่าช้า เนื่องจากทางอัยการต้องส่งร่างสัญญาให้ผู้พิพากษา 2-3 คน ให้ความเห็นร่างสัญญาก่อน ซึ่งต้องใช้เวลาการพิจารณาเพิ่ม

อย่างไรก็ตาม คาดว่าทางอัยการจะส่งร่างสัญญาอาร์ทีเอให้กับ สคร.ได้ภายในเดือน มี.ค.นี้ และ ทาง สคร.ก็สามารถยื่นเรื่องขอขายหน่วยลงทุนกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ซึ่งน่าจะใช้เวลาการพิจารณาไม่นาน เนื่องจากได้มีการประสานงานเรื่องนี้กันมาตลอดเวลา ทำให้ระดมทุนได้ในเดือน พ.ค.-มิ.ย. 2561 นี้

สำหรับเงินที่ระดมได้ 4.4 หมื่นล้านบาท กองทุนทีเอฟเอฟจะให้ กทพ.ก่อสร้างโครงการทางพิเศษพระราม 3-ดาวคะนอง-วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานครด้านตะวันตก วงเงินลงทุน 3.04 หมื่นล้านบาท และโครงการทางด่วนขั้นที่ 3 สายเหนือด้านตะวันออก วงเงินลงทุน 1.43 หมื่นล้านบาท

ทั้งนี้ ทางกระทรวงการคลังและ สคร.ได้เตรียมแผนสำรองไว้หากการระดมทุนล่าช้าไปอีก ก็จะทำการกู้เงินเพื่อก่อสร้างทั้งสองโครงการ และเมื่อกองทุนระดมเงินได้ค่อยนำไปใช้เงินกู้ดังกล่าว

ก่อนหน้านี้ นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ ผู้อำนวยการ สคร. เปิดเผยว่า ขณะนี้ยังอยู่ระหว่างรอความชัดเจนจากศาลปกครองสูงสุด ซึ่งส่งผลกระทบ ทำให้การขายหน่วยลงทุนล่าช้าจากแผนที่คาดการณ์ไว้ แต่ยืนยันว่าจะไม่กระทบกับแผนการใช้เงินเพื่อลงทุนของ กทพ. ซึ่ง สคร.ประเมินเรื่องนี้เป็น 2 กรณี กรณีแรกหากศาลปกครองสูงสุดมีการพิจารณาทั้งหมดจบภายในเดือน มี.ค.-เม.ย.นี้ ก็ยังมีเวลาที่จะยื่นไฟลิ่งให้ ก.ล.ต.พิจารณา และเดินหน้าขายหน่วยลงทุนได้ตามแผนไม่เกินกลางปีนี้ตามที่ตั้งเป้าหมายไว้ล่าสุด อีกกรณีถ้าการพิจารณาของศาลปกครองสูงสุดยังไม่มีข้อสรุป ก็จะให้มีการกู้เงินเพื่อไปก่อสร้างทั้งสองโครงการก่อน และค่อยระดมเงินมาใช้ภายหลัง