เช่าซื้อรถยนต์แข่งดุ หั่นดอกเบี้ยเหลือ 1.99%

เช่าซื้อรถยนต์ขาใหญ่เล่นสงครามราคา หั่นดอกเบี้ยเหลือ 1.99% หวังดึงลูกค้า

แหล่งข่าวจากผู้ประกอบการธุรกิจเช่าซื้อ เปิดเผยว่า ตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมาธุรกิจเช่าซื้อรถยนต์ยังคงมีการแข่งขันที่รุนแรงอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะผู้ประกอบการรายใหญ่สองราย ต่างก็ใช้กลยุทธ์ด้านราคาเพื่อดึงดูดลูกค้าแบบไม่มีใครยอมใคร ทำให้ลูกค้าสามารถเจรจาต่อรองดอกเบี้ยจนลดลงมาเหลือ 1.99% จากปกติที่ดอกเบี้ยจะเริ่มต้นที่ประมาณ 2.45% บนเงื่อนไขที่ต้องมีเงินดาวน์ที่ 25% และผ่อนค่างวด 48 เดือน

“การคิดดอกเบี้ยที่ 1.99% ถ้าจะทำให้มีกำไร ก็ต้องไม่มีหนี้เสียเลยถึงจะได้ หรือไม่ผู้ประกอบการเช่าซื้อรายนั้นก็ต้องมีต้นทุนที่ต่ำกว่าคู่แข่งรายอื่นๆ อย่างมาก ถึงให้ดอกเบี้ยต่ำกับลูกค้าแบบนี้ได้ ซึ่งการแข่งขันแบบนี้คนที่ได้ประโยชน์มากที่สุดก็คงเป็นลูกค้าแน่นอน และไม่ต้องให้ค่ายรถยนต์หรือผู้ประกอบการเช่าซื้อจัดแคมเปญพิเศษอีกด้วย” แหล่งข่าวเปิดเผย

นายรุ่งโรจน์ จรัสวิจิตรกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารทิสโก้ กล่าวว่า ธนาคารคงไม่สามารถลงไปแข่งขันด้านดอกเบี้ยกับคู่แข่งได้ โดยดอกเบี้ยปกติยังเริ่มต้นที่ 2.45% เพื่อให้สอดคล้องกับต้นทุนของธนาคาร ซึ่งในช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมายอดขายรถยนต์ก็ยังอยู่ในช่วงทรงตัว แม้โครงการรถยนต์คันแรกจะเริ่มทยอยครบกำหนดที่ต้องถือครองไว้ 5 ปี ถึงเปลี่ยนรถยนต์คันใหม่ได้ ก็ไม่ได้ส่งผลต่อยอดขายรถยนต์ใหม่ให้เพิ่มขึ้นจากรถยนต์คันแรกมากนัก

“ปัจจุบันพฤติกรรมของผู้ใช้รถยนต์ทั่วไปก็จะใช้รถยนต์นานขึ้นมากกว่า 5-6 ปี ตามเทคโนโลยีหรือคุณภาพของรถยนต์ที่ดีขึ้นและทนทานมากขึ้น ไม่ได้เปลี่ยนรถใหม่ทุกๆ 5 ปี เหมือนเมื่อก่อนแล้ว ยิ่งถ้าเป็นลูกค้ามนุษย์เงินเดือนแล้วก็อาจลากยาวไปถึง 7-8 ปีก็ได้ กว่าจะเปลี่ยนรถใหม่ ดังนั้นการเปลี่ยนรถใหม่สมัยนี้จึงเป็นไปตามกำลังทรัพย์มากกว่าคำนึงถึงเรื่องของระยะเวลา” นายรุ่งโรจน์ กล่าว

อย่างไรก็ตาม การประเมินความสามารถในการปล่อยชำระค่างวดของลูกค้า ธนาคารก็ยังคงใช้เกณฑ์ตามปกติ ไม่ได้เพิ่มความเข้มงวดแต่อย่างใด โดยพิจารณาจากรายได้รวมทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นเงินเดือนหลัก ค่าล่วงเวลาหรือโอที หรือค่าน้ำมัน เพียงแต่ต้องมีรายได้รับสม่ำเสมอติดต่อกันอย่างน้อย 6 เดือน และค่างวดที่จะผ่อนชำระได้ต้องไม่เกิน 50% ของรายได้รวมด้วย

สำหรับยอดเช่าซื้อรถยนต์ของธนาคารในช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมา ปล่อยได้ประมาณ 1.6 หมื่นคัน หรือคิดเป็น 8% ของยอดขายรถยนต์โดยรวมประมาณ 2 แสนคัน จากเป้าที่ตั้งไว้ต้องปล่อยให้ได้ 9% หรือประมาณ 1.8 หมื่นคัน ซึ่งสาเหตุหลักที่ต่ำกว่าเป้าก็เนื่องมาจากการแข่งขันที่รุนแรง