posttoday

จัดหนักเมกะโปรเจกต์2.2ล้านล้าน57โครงการ

06 กุมภาพันธ์ 2556

นายกฯเรียกถกเมกะโปรเจกต์ 2.2 ล้านล้านคมนาคมจัดหนัก3กลุ่ม57โครงการวงเงิน1.9ล้านล้าน แย้ม"ฝรั่งเศส"สนใจลงขันรถไฟเร็วสูง

นายกฯเรียกถกเมกะโปรเจกต์ 2.2 ล้านล้านคมนาคมจัดหนัก3กลุ่ม57โครงการวงเงิน1.9ล้านล้าน แย้ม"ฝรั่งเศส"สนใจลงขันรถไฟเร็วสูง

เมื่อวันที่ 6 ก.พ.ที่ทำเนียบรัฐบาลได้มีการประชุมติดตามความคืบหน้ายุทธศาสตร์การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่งของประเทศ โดยมี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน พร้อมด้วย นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกฯและรมว.คลัง นายชัชชาติ สิทธิพันธ์ รมว.คมนาคม นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายวราเทพ รัตนากร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ผู้แทนจากคณะกรรมการกฤษฏีกา ตัวแทน  สภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) และสำนักงบประมาณ เข้าร่วมหารือ โดยใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง

นายชัชชาติ กล่าวหลังการประชุมว่า นายกฯได้เรียกประชุมเพื่อติดตามงานโครงการการกู้เงินเพื่อการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานวงเงิน 2.2 ล้านล้านบาท เพราะถือเป็นโครงการสำคัญที่มีผลต่อการพัฒนาประเทศ จึงต้องดูอย่างละเอียดในทุกโครงการที่จะเข้าอยู่ในแผน ซึ่งกระทรวงคมนาคมได้เสนอหลายโครงการ โดยจัดลำดับความสำคัญว่าโครงการใดสามารถงบประมาณปกติ และโครงการใดบรรจุเข้าสู่ พ.ร.บ.เงินกู้ 2.2 ล้านล้าน รวมไปถึงโครงการใดสามารถให้เอกชนมาร่วมทุนได้

สำหรับโครงการต่างๆนั้น กระทรวงคมนาคมได้จัดหมวดหมู่เป็น 3 ยุทธศาสตร์ ได้แก่ 1.ยุทธศาสตร์การเชื่อมต่อทางและการขนส่งกับภูมิภาค จำนวน 8 โครงการ รวมวงเงิน 190,402.58 ล้านบาท 2.ยุทธศาสตร์มุ่งสู่การขนส่งที่ยั่งยืน จำนวน 39 โครงการ วงเงินทั้งสิ้น1,550,867.37 ล้านบาท และ 3.ยุทธศาสตร์การยกระดับความคล่องตัวในการเดินทางและการขนส่งไปสู่ศูนย์กลางของภูมิภาคทั่วประเทศ จำนวน 10 โครงการ วงเงิน 158,860.04 ล้านบาท รวมทั้งหมด 57 โครงการ วงเงินทั้งสิ้นประมาณ 1,900,129 ล้านบาท

ทั้งนี้ นายกฯ ต้องการให้กำหนดจุดศูนย์กลางของแต่ละภูมิภาคให้ชัดเจน จากนั้นต่อเชื่อมเส้นเลือดใหญ่ไปที่จุดฮับ และทำถนนย่อยไปเชื่อมยังจังหวัดต่างๆ โดยสรุปคือทั้ง 3 ยุทธศาสตร์ที่กระทรวงคมนาคมจะดำเนินการต้องเชื่อมโยงกับยุทธศาสตร์ประเทศ 4 ด้าน คือ 1.เรื่องการเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม 2.การเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน 3.การกระจายรายได้ และ 4.ความโปร่งใสของระบบราชการ

“ทั้งหมดนี้อยู่ในขั้นตอนของการพิจารณาโครงการให้ละเอียด และกำหนยุทธศาสตร์ให้ชัดเจน โครงการใดเป็นโครงการย่อยให้ใช้งบประมาณปกติ แต่หากเป็นโครงการที่เป็นเส้นเลือดใหญ่ เน้นโลจิสติกส์ให้บรรจุเข้าในงบประมาณ 2.2 ล้านล้านบาท ทั้งหมดต้องทำอย่างรอบคอบ และจะไม่ให้มีโครงการที่ฝากเข้ามา โดยทุกโครงการต้องไม่มีการปรับหรือแก้ไขในส่วนของขั้นตอนจัดซื้อจัดจ้าง และอยากให้เข้าสู่การพิจารณาสภาฯให้ทันในสมัยประชุมนี้” นายชัชชาติ ระบุ

นายชัชชาติ กล่าวด้วยว่า หลังจากนี้อาจมีการเชิญเอกชนมาให้ความเห็นแผนที่รัฐบาลดำเนินการนี้จะสอดคล้องกันแนวคิดของภาคเอกชนหรือไม่ คาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 1 เดือนในการจัดทำรายละเอียด ส่วนเรื่อง 3 ยุทธศาสตร์ที่กล่าวไปนั้น ส่วนใหญ่คณะรัฐมนตรีเข้าใจตรงกันแล้ว และต้องมีการนำเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง

อย่างไรก็ดียอมรับว่า สิ่งที่หลายฝ่ายกังวลคือ เรื่องความโปร่งใส โดยวันที่ 7 ก.พ.ตนมีนัดหมายพบกับผู้แทนองค์กรต่อต้านคอร์รัปชั่น ที่กำลังสนใจในเรื่องโครงการการกู้เงินเพื่อการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานวงเงิน 2.2 ล้านล้านบาทด้วย

สำหรับแหล่งเงินกู้ในการดำเนินโครงการนั้น นายชัชชาติ เปิดเผยว่า ทางกระทรวงการคลังไม่ได้มองจากการกู้เงินจากต่างประเทศ เพราะมีความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนเมื่อรวมดอกเบี้ยทำให้ต้นทุนสูงกว่ามาก ดังนั้นจึงมองแหล่งเงินจากในประเทศเป็นหลัก เพราะที่ได้รับรายงานเรามีสภาพคล่องของเงินฝากในประเทศค่อนข้างดีอยู่ที่ 2.4 ล้านล้านบาท โดยวงเงิน 2.2 ล้านล้านบาทนั้นก็จะไม่กู้จากแหล่งเดียวทั้งหมด และจะทยอยกู้เป็นเวลา 7 ปี

เบื้องต้นจากการประเมินตัวเลขพบว่า ปีที่กู้สูงสุดจะอยู่ประมาณ 3 แสนกว่าล้านบาทเท่านั้น ดังนั้นเชื่อว่าแหล่งเงินกู้ในประเทศน่าจะเพียงพอ ทั้งหมดขึ้นกับกระทรวงการคลังเป็นผู้พิจารณา เพราะกระทรวงคมนาคมเป็นฝ่ายใช้เงิน

นอกจากนี้นายชัชชาติยังกล่าวถึงท่าทีสนใจลงทุนในโครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูงของนายกฯฝรั่งเศสในระหว่างเยือมประเทศไทยอย่างเป็นทางการด้วยวว่า ทางฝรั่งเศสมองว่าเป็นการลงทุนเพื่อภูมิภาค แต่ขอให้การดำเนินการโปร่งใสและเป็นธรรม ซึ่งในฐานะ รมว.คมนาคม ยืนยันโครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูงมีความจำเป็น

เบื้องต้นจะดำเนินการ 4 เส้นทาง คือกรุงเทพฯ-โคราช กรุงเทพฯ-พัทยา กรุงเทพ-หัวหิน และกรุงเทพฯ-เชียงใหม่ ทั้งนี้จากการหารือร่วมกัน ก็ได้สอบถามทางนายกฯฝรั่งเศสว่าจะช่วยเหลือไทยได้อย่างไร ซึ่งทางฝรั่งเศสเขาทำรถไฟความเร็วสูงอยู่แล้ว จึงอยากให้ฝรั่งเศสมาในแง่ความช่วยเหลือด้านวิชาการ เพื่อให้เข้าใจปัญหาของไทยที่ชัดเจน หากเขารอกระทั่งเราเปิดประมูล และค่อยมายื่น คิดว่าจะช้าเกินไป วันนี้ถือเป็นโอกาสดีที่หลายประเทศให้ความสนใจมาลงทุนในไทย

ข่าวล่าสุด

ระบบยืนยันอายุผู้ใช้โซเชียล ป้องกันเยาวชนแอบใช้หลังสั่งห้าม