posttoday

กู้บุคคลโตสุดกู่

22 ตุลาคม 2555

เงินกู้บุคคลไร้หลักประกันโตไม่หยุด ครึ่งปีขยายตัว 15.6% แต่หนี้เสียโตกว่า เพิ่มขึ้น 29.4%

เงินกู้บุคคลไร้หลักประกันโตไม่หยุด ครึ่งปีขยายตัว 15.6% แต่หนี้เสียโตกว่า เพิ่มขึ้น 29.4%

กู้บุคคลโตสุดกู่

ฝ่ายวิจัยธนาคารกรุงเทพ รายงานยอดสินเชื่อส่วนบุคคลไม่มีหลักประกันในไทย เดือน มิ.ย. 2555 มียอดคงค้าง 2.28 หมื่นล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนเพิ่มขึ้น 15.6% ขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 8

ในจำนวนนี้กลุ่มธนาคารพาณิชย์ ขยายตัวสูงถึง 33.3% กลุ่มไม่ใช่ธนาคารพาณิชย์ (นันแบงก์) ขยายตัว 8.1% แต่กลุ่มธนาคารพาณิชย์ต่างประเทศสินเชื่อกลับหดตัวลง 15.7%

ด้านสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) คงค้างของสินเชื่อส่วนบุคคลที่ไม่มีหลักประกัน ณ เดือน มิ.ย. 2555 มีจำนวน 6,700 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนขยายตัว 29.4% โดยกลุ่มธนาคารพาณิชย์ไทยขยายตัว 43% และกลุ่มนันแบงก์ขยายตัวถึง 23.1% แต่กลุ่มธนาคารพาณิชย์|ต่างประเทศหดตัว 5.5%

ทั้งนี้ เอ็นพีแอลของสินเชื่อส่วนบุคคลที่ไม่มีหลักประกันในเดือน มิ.ย. 2554 คิดเป็น 3% ของสินเชื่อส่วนบุคคลที่ไม่มีหลักประกันทั้งหมด เพิ่มขึ้นจาก 2.9% ในเดือน มี.ค. 2555 โดยกลุ่มธนาคารพาณิชย์ไทย 3.2% ธนาคารพาณิชย์ต่างประเทศ 2.5% และกลุ่มนันแบงก์ 2.8% ของสินเชื่อส่วนบุคคลที่ไม่มีหลักประกันทั้งหมด

การขยายตัวของสินเชื่อกลุ่มนี้และปริมาณการเพิ่มขึ้นของเอ็นพีแอล ทำให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) แสดงความกังวลใจกับจำนวนหนี้ส่วนบุคคลที่สูงขึ้น

อย่างไรก็ดี นางสาลินี วังตาล ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับสถาบันการเงิน ธปท. กล่าวว่า ขณะนี้สินเชื่อขยายตัวมากขึ้น เริ่มมีสัญญาณลดลงแล้ว จากเดิมที่โต 16.5% ลดลงเหลือ 14-15% ในปัจจุบัน

ทั้งนี้ ธปท.ติดตามดูแลอย่างใกล้ชิด ภาวะเศรษฐกิจโลก รวมถึงสหรัฐ ยุโรป จีน ชะลอลงได้ส่งผลกระทบมาที่การส่งออกและภาวะเศรษฐกิจไทยบ้างแล้ว โดยน่าจะทำให้ความต้องการจับจ่ายและการบริโภคของไทยเพิ่มขึ้นได้ไม่มากนัก

นางสาลินี กล่าวว่า จากการติดตามยังไม่พบว่ามีภาวะฟองสบู่ในภาคธุรกิจใด และยังไม่พบว่าจะเกิดการเก็งกำไรในภาคใดเป็นพิเศษ สินเชื่อก็เริ่มลดความร้อนแรงลง

“สินเชื่อขยายตัวลดลงมาบ้างแล้ว และไม่คิดว่าจะเป็นเหตุให้เกิดภาวะฟองสบู่ได้ เพราะเศรษฐกิจโลกก็อยู่ในภาวะชะลอลง และอีกอย่างสินเชื่อที่โตส่วนใหญ่เกิดจากการลงทุนของธุรกิจไทยในภูมิภาคนี้มากกว่า เพราะตอนนี้ภาคธุรกิจไทยได้พยายามเปิดตลาดในแหล่งต่างๆ มากขึ้น เพื่อชดเชยรายได้ที่ลดลงจากปัญหาเศรษฐกิจโลกชะลอตัว ดังนั้นเวลานี้ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องออกหลักเกณฑ์อะไรที่เข้มงวดมาคุมสินเชื่อแบงก์ โจทย์ตอนนี้ควรช่วยประคองเศรษฐกิจไทยให้ผ่านพ้นไปได้มากกว่า” นางสาลินี กล่าว

นางสาลินี กล่าวว่า การปล่อยสินเชื่อของระบบธนาคารพาณิชย์ในขณะนี้ถือว่ามีคุณภาพและมีมาตรฐานที่ดี แม้มีการแข่งขันค่อนข้างสูง ก็ไม่ทำให้คุณภาพการปล่อยกู้ลดลง ขณะเดียวกันธนาคารพาณิชย์ยังดูแลลูกค้าตัวเองได้อย่างดี ทำให้ไม่ห่วงปัญหาหนี้เสียที่จะมากระทบฐานะของธนาคารและไม่น่าจะทำให้ธนาคารลดการปล่อยสินเชื่อ ถือเป็นการดูแลความเสี่ยงที่ดีทั้งต่อลูกค้าและธุรกิจของธนาคารเอง ไม่ต้องกังวลปัญหาหนี้ไม่ก่อให้เกิดเอ็นพีแอลที่ปัจจุบันอยู่ในระดับต่ำ

ขณะเดียวกัน ธนาคารเองก็มีการกันสำรองหนี้เผื่อหนี้สงสัยจะสูญสูงมากกว่า 100% จึงไม่น่าห่วงว่าหนี้เสียจะกระทบฐานะการเงินแต่อย่างใด