posttoday

การปรับตัวของตลาดก่อนมาตรการป้องปรามเก็งกำไรเงินบาทมีผลบังคับใช้

15 กรกฎาคม 2562

โดย...พีรพรรณ สุวรรณรัตน์, มนัสวิน ฐิติสมบูรณ์ สายงานธุรกิจตลาดทุน ธนาคารกสิกรไทย

โดย...พีรพรรณ สุวรรณรัตน์, มนัสวิน ฐิติสมบูรณ์ สายงานธุรกิจตลาดทุน ธนาคารกสิกรไทย

สายงานธุรกิจตลาดทุน ธนาคารกสิกรไทยมองว่าเงินบาทจะเคลื่อนไหวผันผวนในกรอบ 30.70-31.00 เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ธนาคารแห่งประเทศไทยประกาศมาตรการป้องปรามการเก็งกำไรค่าเงินบาทด้วยการลดยอดคงค้างของบัญชีเงินบาทของต่างชาติซึ่งไม่เกี่ยวกับธุรกรรมการค้าและการลงทุนโดยตรงลง ทั้งนี้จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 22 กรกฎาคมนั้น คาดว่านักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาเก็งกำไรจะต้องเริ่มปรับพอร์ตการลงทุนและยอดเงินคงค้างในบัญชีของตนเองในสัปดาห์นี้ เพื่อไม่ให้ผิดกฎเกณฑ์ใหม่ที่จะออกมาซึ่งจะเป็นปัจจัยให้เงินบาทอ่อนค่าลงได้ในสัปดาห์นี้ ด้านตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญ คือ ตัวเลขจีดีพีของจีนซึ่งอาจส่งกระทบต่อเงินหยวนและเงินสกุลในเอเชียให้อ่อนค่าหากว่าตัวเลขสะท้อนภาพเศรษฐกิจที่อ่อนแอลงมากขึ้น อีกทั้งธนาคารกลางของเกาหลีใต้และอินโดนีเซียจะมีการพิจารณานโยบายการเงินซึ่งอาจมีสัญญาณสนับสนุนนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้น

ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา เงินบาทผันผวนอย่างมาก ในช่วงต้นสัปดาห์ ตลาดรับข่าวการประกาศตัวเลขการจ้างงานนอกเกษตรของสหรัฐฯ ที่กลับมาแข็งแกร่งเกินกว่าที่ตลาดคาดไว้ ทำให้ตลาดกังวลว่าเฟดมีโอกาสที่จะลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายน้อยครั้งลงในปีนี้้ ปัจจัยดังกล่าวทำให้นักลงทุนกลับเข้าซื้อสินทรัพย์ในรูปดอลลาร์เพิ่มขึ้นและทำให้เงินสกุลทั่วโลกแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์ เงินบาทอ่อนค่าใกล้เคียงระดับ 30.80

แต่ภายหลังจากที่นายเจอโรม โพเวล ประธานเฟดซึ่งแถลงนโยบายต่อสถาคองเกรสแสดงสัญญาณชัดเจนที่จะลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เนื่องจากความเสี่ยงต่างประเทศสูงขึ้น โดยระบุว่า “ภาคอุตสาหกรรม การค้า และการลงทุนนั้นอ่อนแอลงทั่วโลก” ขณะที่ โพเวลประเมินว่า “การจ้างงานที่แข็งแกร่งนั้นกว่าที่คาดนั้นถือเป็นข่าวดี แต่ไม่มากพอที่จะรักษาสมดุลของเศรษฐกิจได้ เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อไม่สามารถเร่งขึ้นได้เร็วพอ” ทำให้ตลาดกลับมาคาดหวังต่อการลดดอกเบี้ยนโยบายของเฟดมากขึ้นอีกครั้งและทำให้เงินบาทกลับมาแข็งค่าใกล้ระดับ 30.60 และมีแนวโน้มแข็งค่าต่อเนื่อง ทำให้ในวันศุกร์ ธนาคารแห่งประเทศไทยประกาศมาตรการป้องปรามเก็งกำไรเงินบาทด้วยการลดยอดคงค้างของบัญชีเงินบาทของต่างชาติซึ่งไม่เกี่ยวกับธุรกรรมการค้าและการลงทุนโดยตรงลงและให้มีการรายงานถึงระดับชื่อของผู้รับผลประโยชน์ที่แท้จริงของการถือครองตราสารหนี้ด้วย เงินบาทจึงกลับมาอ่อนค่ามากที่สุดที่ 30.90 ระหว่างวัน และปิดตลาดที่ระดับ 30.88 (ณ เวลา 17.00 น.)

ตลาดตราสารหนี้เริ่มต้นสัปดาห์ที่ผ่านมาได้รับแรงกดดันจากตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐฯ ในเดือนมิถุนายน ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นมากกว่าที่ตลาดคาด โดยตัวเลขประกาศอยู่ที่ 2.24 แสนตำแหน่ง เพิ่มขึ้นจากตัวเลขเดือนก่อนที่ 7.2 หมื่นตำแหน่งและมากกว่าที่ตลาดคาดที่ 1.6 แสนตำแหน่ง ทำให้ความคาดหวังว่าเฟดจะทำการลดดอกเบี้ยลง 50 bps ในการประชุมเดือนกรกฎาคมนี้ลดลงไป และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลของสหรัฐฯและประเทศเศรษฐกิจหลักปรับตัวสูงขึ้น

อย่างไรก็ตามอีกประเด็นสำคัญที่ตลาดให้ความสำคัญคือการแถลงนโยบายของคุณโพเวล ต่อสภาคองเกรส โดยประธานเฟดแสดงความกังวลต่อการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกที่อาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ พร้อมกับส่งสัญญาณที่เฟดอาจจะปรับลดดอกเบี้ยลงในการประชุมเดือนกรกฎาคมนี้ ซึ่งถ้าพิจารณาจาก FED Fund Future ตลาดได้ priced in โอกาสที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 25 bps ในขณะที่ถ้าพิจารณา FED Fund Future ณ สิ้นปี 2019 บ่งบอกว่านักลงทุนส่วนใหญ่คาดหวังการลดอัตราดอกเบี้ยลง 2 ครั้ง (50 bps) ในปีนี้ โดยถ้อยแถลงในครั้งนี้สอดคล้องกับรายงานการประชุมของเฟดในเดือนมิถุนายน ที่คณะกรรมการหลายท่านสนับสนุนการลดดอกเบี้ยนโยบายในระยะอันใกล้เพื่อลดผลกระทบจากความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก และคาดว่าอัตราเงินเฟ้อในระยะต่อไปจะยังคงอยู่ที่ระดับต่ำกว่าเป้าหมายที่ 2% ขณะที่ปัจจัยภายในประเทศเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ธปท. ได้ออกมาตรการเฝ้าระวังเงินทุนไหลเข้าระยะสั้น ส่งผลให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงโดยประมาณ 25bps ภายหลังจากประกาศดังกล่าว รวมไปถึงมีแรงขายในตลาดพันธบัตรรัฐบาลส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลปรับตัวสูงขึ้น ทั้งนี้นักลงทุนคงต้องติดตามผลกระทบว่าจะส่งผลต่อตลาดตราสารหนี้ไทยมากน้อยเพียงใด โดย ณ วันที่ 12 กรกฎาคม 2562 อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลรุ่นอายุ 1, 2, 3, 5, 7 และ 10ปี อยู่ที่ 1.76% 1.73% 1.75% 1.80% 1.88% และ 2.03% ตามลำดับ

การปรับตัวของตลาดก่อนมาตรการป้องปรามเก็งกำไรเงินบาทมีผลบังคับใช้

ในส่วนของกระแสเงินทุนต่างชาติในสัปดาห์ที่ผ่านมาไหลออกจากตลาดตราสารหนี้ไทยรวมสุทธิประมาณ 17,676 ล้านบาท ซึ่งเป็นการขายสุทธิในตราสารหนี้ระยะสั้น 19,523 ล้านบาท ซื้อสุทธิในตราสารหนี้ระยะยาว 2,147 ล้านบาท และมีตราสารหนี้ที่ถือครองโดยนักลงทุนต่างชาติหมดอายุ 300 ล้านบาท