posttoday

ภาระผูกพันผลประโยชน์พนักงานที่คนไทยควรรู้

14 สิงหาคม 2561

ปัจจัยหลักที่เลือกสมัครงานกับบริษัทใดสักแห่ง แน่นอนว่าย่อมต้องมีค่าตอบแทน สวัสดิการ หรือผลประโยชน์ของบริษัทจะมอบให้พนักงาน

โดย..พิเชฐ เจียรมณีทวีสิน

สำหรับมนุษย์เงินเดือน หนึ่งในปัจจัยหลักที่จะเลือกสมัครงานกับบริษัทใดสักแห่ง แน่นอนว่าย่อมต้องมีค่าตอบแทน สวัสดิการ หรือผลประโยชน์ที่บริษัทจะมอบให้พนักงานรวมอยู่ด้วย ไม่ว่าจะเป็นค่าจ้าง เงินเดือน ค่าวิชาชีพ วันลาพักร้อน หรือจะเป็นเงินบำเหน็จบำนาญหลังเกษียณอายุ เป็นต้น

แต่ในมุมมองของกิจการหรือบริษัทนั้น สิ่งเหล่านี้คือค่าใช้จ่ายของบริษัททั้งสิ้น แน่นอนว่าเมื่อมีค่าใช้จ่าย ย่อมต้องกระทบกับกำไรสะสมและกำไรของบริษัทในแต่ละปี

โดยผลประโยชน์พนักงานนี้ อาจจะแบ่งออกเป็นผลประโยชน์ระยะสั้นๆ ที่จะต้องจ่ายภายใน 1 ปี เช่น เงินเดือน ค่าจ้าง หรือโบนัสประจำปี และผลประโยชน์ที่จะจ่ายในระยะยาว เช่น เงินชดเชยยามเกษียณอายุ หรือรางวัลจากการทำงานกับองค์กรเป็นระยะเวลานาน (ทำงานครบ 10 ปี ได้ทองคำ 1 บาท)

และเพื่อป้องกันไม่ให้บริษัทเกิดเหตุการณ์ในทำนองที่ว่าไม่มีเงินจ่ายผลประโยชน์ให้พนักงาน จึงมีการกำหนดมาตรฐานทางบัญชีว่าบริษัทจะต้องรับรู้หนี้สินที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต และสำรองเงินไว้ให้เพียงพอ ซึ่งก็ครอบคลุมตัวผลประโยชน์พนักงานนี้ด้วยเช่นกัน

สำหรับผลประโยชน์ระยะสั้นๆ บริษัทก็สามารถรับรู้ได้ง่ายๆ เช่น พนักงานมีเงินเดือน 2.5 หมื่นบาท แปลว่าทั้งปีนี้ก็รู้อยู่แล้วว่าบริษัทจะเป็นหนี้พนักงานอยู่เดือนละ 2.5 หมื่นบาท ก็บันทึกเป็นค่าใช้จ่ายกันไป

แต่สำหรับผลประโยชน์ระยะยาวนั้นต่างออกไป เช่น หากลองสมมติดูว่าในอีก 20 ปีข้างหน้า จะต้องจ่ายเงินชดเชยเกษียณอายุตามกฎหมายซึ่งอ้างอิงจากเงินเดือนสุดท้าย ให้พนักงานคนหนึ่ง 1 ล้านบาท ถามว่าเราควรสำรองเงินไว้ทั้ง 1 ล้านบาทเลยหรือเปล่า และในช่วง 20 ปีนี้ เงินเดือนพนักงานคนนี้เพิ่มขึ้นแล้วผลประโยชน์ที่จะต้องจ่ายจะเพิ่มขึ้นเป็นเท่าไร แล้วควรจะสำรองเงินไว้ตอนนี้เป็นจำนวนเท่าไรกันแน่

และคำถามนี้ คือที่มาของการประเมินภาระผูกพันของผลประโยชน์พนักงาน กล่าวคือเป็นการประเมินว่าปัจจุบันบริษัทควรจะตั้งเงินสำรองเท่าไร และในอนาคตควรจะเพิ่มเงินสำรองให้พนักงานปีละเท่าไร เพื่อที่จะได้มีเงินเพียงพอจ่ายให้พนักงาน ในวันที่พนักงานเกษียณอายุ

ภาระผูกพันผลประโยชน์พนักงานที่คนไทยควรรู้

รูปด้านบนนี้ คือรูปตัวอย่างแสดงผลการคาดการณ์ว่าในอนาคตแต่ละปี บริษัทจะจ่ายเงินชดเชยปีละประมาณเท่าไร ซึ่งจะเห็นว่ามีการผันผวนอย่างมากในแต่ละปี และในกรณีที่ไม่มีการตั้งเงินสำรองเอาไว้ก่อน ค่าใช้จ่ายเหล่านี้จะกระทบกับผลกำไรของบริษัททันที และอาจทำให้บริษัทขาดทุน หรือยิ่งไปกว่านั้น อาจทำให้บริษัทล้มละลายได้เช่นกัน

ยกตัวอย่างเช่น เมืองดีทรอยต์ (Detroit) เป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในรัฐมิชิแกน ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นข่าวใหญ่ไปทั่วโลกว่าล้มละลาย กล่าวคือไม่มีเงินเพียงพอที่จะจ่ายเงินเดือน สวัสดิการต่างๆ ให้แก่พนักงานของภาครัฐและรวมถึงเงินชดเชยเกษียณอายุด้วย

ซึ่งหนึ่งในสาเหตุคือการตั้งเงินสำรองสำหรับหนี้สินผลประโยชน์พนักงานน้อยเกินไป โดยสำรองไว้ 600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ทั้งที่ความจริงแล้วควรสำรองไว้ 3,500 ล้านดอลลาร์ ซึ่งนั่นหมายความว่าเมืองดีทรอยต์รับรู้หนี้สินน้อยกว่าที่ควรจะเป็นถึงเกือบๆ 6 เท่า

ดังนั้น จึงจะเห็นว่าการตั้งเงินสำรองนั้นมีความสำคัญอย่างมากกับทุกธุรกิจ เพราะทุกบริษัทจะมีภาระผูกพันจากผลประโยชน์พนักงานระยะยาวที่ต้องจ่ายในอนาคตกันทั้งนั้น

นอกจากนี้ หากใครพอจะจำได้ธุรกิจฟิตเนสที่เป็นข่าวโด่งดังว่าล้มละลายเมื่อหลายปีก่อนหน้านี้ ก็จัดอยู่ในกลุ่มที่ได้เงินมาก่อน แล้วต้นทุนเกิดขึ้นทีหลังเช่นกัน เพราะรับค่าสมาชิกแบบตลอดชีพจากลูกค้า แล้วต้นทุนอย่างพวก ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าเช่าสถานที่ ค่าบำรุงซ่อมแซมอุปกรณ์ รวมถึงเงินเดือนของพนักงาน จะเกิดขึ้นเมื่อสมาชิกใช้บริการของฟิตเนส

แน่นอนว่าธุรกิจในลักษณะนี้จะต้องประมาณหนี้สินและตั้งเงินสำรองให้เพียงพอ เพื่อที่จะได้ไม่เกิดผลกระทบกิจการและพนักงานในอนาคต

ทั้งนี้ การประเมินหนี้สินผลประโยชน์พนักงานของบริษัททั่วไปตามหลักสากลแล้วจะใช้วิธีการแบบคณิตศาสตร์ประกันภัย ซึ่งประกอบด้วยหลักสถิติ เช่น โอกาสที่พนักงานจะลาออกจากงาน หรือเสียชีวิตก่อนเกษียณอายุ และหลักคณิตศาสตร์การเงิน เช่น ทฤษฎีดอกเบี้ย หรือคำนวณดูว่าเงินเดือนสุดท้ายของพนักงานจะเป็นเท่าไร

แต่สำหรับประเทศไทยในปัจจุบันแล้วจะมีความพิเศษตรงที่บริษัทที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับตลาดหลักทรัพย์ หรือบริษัทในต่างประเทศเลย (กล่าวง่ายๆ คือ SMEs ทั่วๆ ไปที่ไม่ได้มีบริษัทสากลมาถือหุ้น หรือไม่ได้ไปถือหุ้นบริษัทสากล) จะได้รับการยกเว้นให้ประมาณการโดยไม่ต้องใช้หลักคณิตศาสตร์ประกันภัยก็ได้ แต่เมื่อไรที่เริ่มมาข้องแวะกับบริษัทที่ต้องใช้หลักมาตรฐานสากล หรือต้องเตรียมตัวเข้าตลาดหลักทรัพย์เมื่อไร ก็ค่อยหันมาคำนวณกันจริงจังอีกที

สรุปคือการคำนวณผลประโยชน์พนักงาน คือ การประเมินค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการจ่ายผลประโยชน์พนักงานของบริษัทเสียแต่เนิ่นๆ เพื่อให้มีเงินเพียงพอสำหรับการจ่ายผลประโยชน์ และเพื่อไม่ให้กระทบกับกำไรขาดทุนของบริษัท ในวันที่มีการจ่ายผลประโยชน์ออกไปจริงๆ