posttoday

เป็น ... ที่ดีขึ้น

03 กันยายน 2560

โดย...จักรพงษ์ เมษพันธุ์ THE MONEY COACH

โดย...จักรพงษ์ เมษพันธุ์ THE MONEY COACH

ผมเป็นคนหนึ่งที่ชื่นชอบ สมการความมั่งคั่งของ โรเจอร์ แฮมิลตัน ผู้แต่งหนังสือ Wink (มั่งคั่งมากกว่าที่ตาเห็น) และ Your Life Your Legacy (มั่งคั่งระดับตำนาน) ที่ว่า

ความมั่งคั่ง (Wealth) = คุณค่า (Value) x พลังทวี (Leverage)

พอจะขยายความให้เข้าใจกันได้ง่ายๆ ว่า คนที่จะมั่งคั่งได้นั้น เขาต้องมีคุณค่าในตัวเอง และคุณค่าที่เขามีนั้นต้องเป็นคุณค่าที่คนจำนวนมากรับรู้และต้องการ เพราะมันช่วยแก้ปัญหา และเติมเต็มในสิ่งที่ขาดให้กับคนจำนวนมากได้

มาถึงตรงนี้เชื่อว่าหลายท่านน่าจะมีคำถามคล้ายๆ กัน...

- แล้วคุณค่าแบบไหนล่ะ ที่คนส่วนมากต้องการ?

- เราจะรู้ได้อย่างไรว่า เราสามารถสร้างคุณค่านั้น (ที่คนส่วนมากต้องการ) ได้แล้วหรือยัง?

- พอมีคุณค่าในแบบที่คนส่วนมากต้องการแล้ว ต้องทำอย่างไรต่อ?

- ฯลฯ

มาที่คำถามแรกกันก่อน “คุณค่า” ที่คนส่วนใหญ่ต้องการ ที่จริงก็ดูไม่ยากครับ เพราะมันคือ สิ่งที่คนส่วนใหญ่ยอมจ่ายเงินให้กับมันนั่นแหละ อาจเป็นสินค้าหรือบริการอะไรก็ได้ ซึ่งจะว่าไปในโลกนี้มีสิ่งที่คนต้องการเป็นแสนเป็นล้านชนิด

แต่ก็น่าแปลกใช่มั้ย ที่พอเราแยกสินค้าและบริการออกมาพิจารณาแต่ละประเภท เราจะพบความจริงที่ว่า เงินของคนทั้งโลก ประเทศ หรือเมือง ถูกจ่ายไปกับสินค้าบางยี่ห้อ หรือบริการเพียงบางรายการเท่านั้น

เช่น คนบนโลกนี้แทบทุกคนอยากมีสมาร์ทโฟนไว้ใช้งานด้วยกันทั้งนั้น ยิ่งนับวันคุณสมบัติ (คุณค่า) และฟังก์ชั่นต่างๆ ของสมาร์ทโฟนก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ แต่มีสมาร์ทโฟนเพียงไม่กี่ยี่ห้อเท่านั้น ที่ได้ส่วนแบ่งการตลาดไป และมีเพียงไม่กี่ยี่ห้อเท่านั้น ที่เจ้าของกิจการอยู่รอด เติบโต และมั่งคั่งจากอุตสาหกรรมนี้ได้

อ่านถึงตรงนี้... ผมก็เลยเผลอตอบคำถามที่สองไปด้วยเลยในคราวเดียว

คุณสร้างคุณค่านั้นขึ้นมาได้หรือเปล่า? คำถามนี้ตอบได้ด้วยผลลัพธ์ทางการเงินของคุณครับ ว่าเงินหรือความมั่งคั่งหลั่งไหลมาที่คุณมากน้อยแค่ไหน?

แล้วถ้าวันนี้ ฉันมีอาชีพ งาน หรือธุรกิจอะไรสักอย่างหนึ่ง แต่ยังไม่รวยสักที รายได้ยังไม่มาก เงินและความมั่งคั่งยังคงหลั่งไหลไปหาคนอื่น (คู่แข่ง) ทุกวี่ทุกวัน ... ฉันควรจะทำอย่างไร?

ถ้าตอบแบบกำปั้นทุบดิน ก็ต้องตอบว่า “ต้องสร้างคุณค่าของคุณให้มากขึ้น” และถ้าอยากให้ดู Abstract ขึ้นไปอีก ก็ต้องตอบว่า ...

“จงเป็น (สิ่งที่คุณเป็นอยู่) ให้ดีขึ้น”

สมัยเริ่มต้นเป็นที่ปรึกษาโรงงานอุตสาหกรรม ผมได้รับค่าจ้างเพียงวันละ 3,500 บาท แต่ไม่เคยท้อ ไม่เคยเกี่ยงงาน งานช่วงแรกที่ผมได้รับนั้น แทบจะเป็นโรงงานเอสเอ็มอีเกือบทั้งหมด (หนักไปทางเอสด้วย) บางโรงงานดูเหมือนไม่เป็นโรงงานเสียด้วยซ้ำ เช่น ครั้งหนึ่งผมได้ลูกค้าเป็นธุรกิจครอบครัว ทำผักกาดดองบรรจุปี๊บ เป็นต้น

แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาเพราะผมคิดง่ายๆ ของผมเองว่า ทุกงานทำให้ผมเก่งขึ้น มีประสบการณ์มากขึ้นทั้งสิ้น และที่ปรึกษาที่เก่งในวันนี้ เขาก็ต้องเคยผ่านงานเล็กๆ แบบนี้มาด้วยกันทั้งนั้น

ผมใช้เวลา 3 ปีแรกของการเป็นที่ปรึกษา ผ่านโรงงานเป็นร้อย (ปีหนึ่งผมรับงานตกประมาณ 30-40 แห่ง) มีตั้งแต่เล็กจนแทบจะเป็นอู่รถยนต์ ไปจนถึงธุรกิจครอบครัวขนาดกลาง ประเภทฉีดและเป่าพลาสติก ถุงมือยาง และอาหารแช่แข็งส่งออก

การผ่านงานหนักเป็นร้อยกว่าโรงงาน ช่วยพัฒนาทักษะให้ผมกลายเป็นที่ปรึกษาที่มีความรอบรู้มากขึ้น หลังจากนั้นผมเริ่มเปลี่ยนตัวเองมาเป็นผู้ตรวจประเมินโรงงาน อัตราการเรียนรู้ธุรกิจของผมยิ่งเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เพราะ 1 วันที่ไปตรวจ ก็คือ 1 กิจการ 1 อุตสาหกรรม แค่ตรวจสักปีสองปี ผมก็เห็นอุตสาหกรรมแทบทุกประเภท

ความเก่ง ความเก๋า ทำให้ผมเริ่มพัฒนาตัวเองเข้าสู่สายวิทยากรระบบมาตรฐาน ผมพูดให้ประยุกต์ใช้ได้กับทุกธุรกิจทั้งภาคการผลิตและบริการ จนในที่สุดผมกลายเป็นที่ปรึกษาและวิทยากรให้กับองค์กรชั้นนำของประเทศ

จากนั้นก็เริ่มเปิดบริษัทของตัวเอง ค่าเหนื่อยต่อวันเพิ่มขึ้นเป็น 20-25 เท่าจากตอนเริ่มต้นอาชีพ ไม่ต้องวิ่งหางาน มีแต่งานวิ่งมาหา มีแต่คนโทรมาชวน ตารางเต็มทุกเดือน ทุกอย่างง่ายขึ้น เพียงเพราะคุณค่าในตัวเราเพิ่มมากขึ้น

นี่คือตัวอย่างของการเป็นที่ปรึกษาและวิทยากรที่ดีขึ้น

ลูกศิษย์ผมคนหนึ่งเป็นติวเตอร์ที่เก่งมาก ใครเรียนก็ชอบ ใครเรียนก็บอกต่อ จนบ้านที่เขาทำเป็นห้องเรียนไม่พอสำหรับความต้องการ ขนาดซื้อบ้านใหม่ เพิ่มห้องเรียนก็ยังไม่พอ

นี่คือตัวอย่างของคุณค่าในตัวที่มันบ่มเพาะจนได้ที่ รสชาติแสนกลมกล่อม

เขามาปรึกษากับผมว่าจะทำอย่างไรดี ผมก็เลยแนะนำเขาไปว่า น่าจะได้เวลาที่คุณต้องเป็นติวเตอร์ที่ดีขึ้น ด้วยการทำให้เด็กๆ มัธยมได้มีโอกาสเรียนกับคุณมากขึ้นในเวลาพร้อมๆ กัน

ใช่ครับ! ผมกำลังจะตอบคำถามที่สามที่เขียนไว้ข้างต้น... เมื่อวันหนึ่งคุณค่าของคุณเริ่มเป็นที่รับรู้ คุณก็ต้องพัฒนาตัวเองให้เป็นติวเตอร์ที่ดีขึ้นไปอีก ด้วยการใช้พลังทวี (Leverage) ซึ่งอาจเป็นการทำคอร์สออนไลน์ เปิดโอกาสให้เด็กต่างจังหวัดได้เข้าถึง ได้รับรู้คุณค่าของคุณ ซึ่งในอีกนัยหนึ่งก็หมายถึง คุณได้ช่วยให้พวกเขาได้เรียนความรู้ดีๆ จากคุณได้อีกด้วย

เริ่มต้นจากการพัฒนาคุณค่าในตัวเอง ด้วยแนวคิด “เป็น ... (สิ่งที่คุณเป็นอยู่ในปัจจุบัน) ให้ดีขึ้น” จากนั้นขยายความรับรู้และโอกาสในการเข้าถึงคุณค่าของคุณให้มากขึ้นด้วยพลังทวี

เพียงเท่านี้ ... ความมั่งคั่งก็จะเริ่มหลั่งไหลมาที่คุณแล้วครับ