posttoday

จับตาการประชุมคณะกรรมการ นโยบายการเงินของไทยในวันพุธนี้

14 สิงหาคม 2560

ในสัปดาห์นี้สายงานธุรกิจตลาดทุนธนาคารกสิกรไทย มองว่าเงินบาทจะเคลื่อนไหวในกรอบแคบช่วง 33.10-33.30 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ

โดย...พีรพรรณ สุวรรณรัตน์ ผู้ชำนาญการงานวิจัยเศรษฐกิจและตลาดทุนอาวุโส สายงานธุรกิจตลาดทุน ธนาคารกสิกรไทย

ในสัปดาห์นี้สายงานธุรกิจตลาดทุนธนาคารกสิกรไทย มองว่าเงินบาทจะเคลื่อนไหวในกรอบแคบช่วง 33.10-33.30 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ ปัจจัยที่ต้องติดตามที่สำคัญคือ พัฒนาการความตึงเครียดทางการเมืองระหว่างสหรัฐและเกาหลีเหนือต่อเนื่องจากสัปดาห์ก่อน ซึ่งอาจส่งผลให้นักลงทุนกลับเข้าถือสินทรัพย์ที่มีความปลอดภัยได้

อย่างไรก็ตาม เครื่องชี้เศรษฐกิจที่สำคัญในสัปดาห์นี้คือ การประกาศอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจในไตรมาส 2 ของประเทศคู่ค้าที่สำคัญของไทยหลายประเทศ นับตั้งแต่ญี่ปุ่นที่จะประกาศในวันจันทร์นี้ ยุโรปและฟิลิปปินส์ที่จะประกาศในช่วงกลางสัปดาห์

ทั้งนี้ ในวันพุธนี้ คณะกรรมการนโยบายการเงินของไทย (กนง.) จะมีการประกาศทิศทางการดำเนินนโยบายการเงิน และธนาคารกลางสหรัฐจะออกรายงานการประชุมครั้งล่าสุด ซึ่งคาดว่าจะส่งผลกระทบต่อค่าเงินบาทได้

ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาค่าเงินบาทและค่าเงินสกุลหลักส่วนใหญ่มีทิศทางแข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์ โดยมีรายละเอียดดังนี้  

ค่าเงินบาททรงตัวอยู่ในระดับแข็งค่า โดยเคลื่อนไหวในกรอบแคบที่ 33.20-33.35 บาท/ดอลลาร์ ค่าเงินบาทเปิดตลาดในสัปดาห์ที่ผ่านมาที่ 33.27 บาท/ดอลลาร์ อ่อนค่าลงเล็กน้อยจากระดับแข็งค่าที่สุดในรอบกว่า 2 ปี ในวันศุกร์ที่ 4 ส.ค. เนื่องจากดัชนีค่าเงินดอลลาร์ที่แข็งค่าภายหลังตัวเลขการจ้างงานนอกเกษตรที่เพิ่มขึ้นมากและดุลการค้าสหรัฐที่ขาดดุลลดลง

อย่างไรก็ตาม ถ้อยแถลงของคณะกรรมการนโยบายการเงินของสหรัฐ (FOMC) หลายท่านที่ออกมาให้ความเห็นเกี่ยวกับทิศทางนโยบายการเงินของสหรัฐ ไม่ได้ส่งผลให้ตลาดเพิ่มความเชื่อมั่นต่อทิศทางการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐ เนื่องจากคณะกรรมการให้ความเห็นไม่สอดคล้องกัน ทำให้ตลาดมองว่าธนาคารกลางสหรัฐจะไม่ขึ้นดอกเบี้ยในเดือน ธ.ค.นี้

ขณะที่คณะกรรมการเห็นตรงกันว่าอัตราเงินเฟ้อสหรัฐจะยังคงอยู่ในระดับต่ำ และสนับสนุนการเริ่มลดขนาดงบดุลในเดือน ต.ค.นี้ ส่งผลให้เงินบาทยังถูกกดดันจากกระแสเงินทุนไหลเข้าตลาดพันธบัตรของไทยต่อเนื่องเกือบ 2 หมื่นล้านบาท ส่งผลให้ค่าเงินบาทยังทรงตัวในระดับแข็งค่า และปิดตลาดที่ 33.240 บาท/ดอลลาร์

ค่าเงินเยนแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็วเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยเฉพาะภายหลังสถานการณ์ทางการเมืองระหว่างสหรัฐและเกาหลีเหนือตึงเครียดมากขึ้น โดยตลาดเปิดที่ระดับ 110.60 เยน/ดอลลาร์ และแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็ว เนื่องจากเกาหลีเหนือออกมาข่มขู่ว่าจะโจมตีเกาะกวมซึ่งเป็นที่ตั้งของฐานทัพสหรัฐในมหาสมุทรแปซิฟิกด้วยขีปนาวุธวิสัยไกล ทำให้นักลงทุนปรับเข้าถือสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำซึ่งมีเงินเยนรวมอยู่ด้วย โดยราคาทองคำที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น 2.3% จากต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา และเงินเยนแข็งค่าขึ้นมาปิดตลาดที่ 109.03 เยน/ดอลลาร์

ค่าเงินยูโรเคลื่อนไหวในกรอบแคบ เนื่องจากไม่มีปัจจัยสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อกลุ่มยุโรป โดยเงินยูโรเปิดตลาดที่ 1.1766 ดอลลาร์/ยูโร โดยมีปัจจัยกดดันเงินยูโรจากเครื่องชี้เศรษฐกิจของเยอรมนีซึ่งเป็นประเทศผู้นำกลุ่มยุโรปจะออกไม่ดีนัก อาทิ ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือน มิ.ย. ที่หดตัว 1.1% MOM และอัตราเงินเฟ้อเดือน ก.ค.ที่ทรงตัว โดยเพิ่มขึ้นเล็กน้อยมาอยู่ที่ระดับ 1.7% YOY ขณะที่มีปัจจัยผลักดันเงินยูโรจากสถานการณ์การเมืองระหว่างสหรัฐและเกาหลีเหนือมีความตึงเครียดมากขึ้น ส่งผลให้นักลงทุนบางส่วนเลือกเข้าถือเงินยูโร เนื่องจากความเสี่ยงทางการเมืองของยุโรปในปัจจุบันที่คลี่คลายลงมากแล้ว โดยมีเพียงการเลือกตั้งเยอรมนีที่จะจัดขึ้นในเดือน ก.ย.นี้เท่านั้น อย่างไรก็ตามความเสี่ยงที่ผู้นำเยอรมนีคนใหม่จะเป็นฝ่ายที่ไม่สนับสนุนการรวมของสหภาพยุโรปมีน้อย จึงทำให้โดยรวมแล้วยุโรปมีสถานการณ์ทางการเมืองที่สงบกว่าสหรัฐ ทำให้เงินยูโรทรงตัวและปิดตลาดที่ 1.1755 ดอลลาร์/ยูโร

ตลาดพันธบัตรหุ้นกู้ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา บริษัทต่างๆ มีการออกและเสนอขายหุ้นกู้ อาทิ หุ้นกู้ของบริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น โดยเสนอขายให้กับนักลงทุนสถาบันแบบเฉพาะเจาะจงไม่เกิน 10 ราย โดยมีการจัดอันดับความน่าเชื่อถือของบริษัทที่ BBB+ ออกและเสนอขายรุ่นอายุ 3 ปี อัตราดอกเบี้ย 3.09% มูลค่าที่เสนอขาย 500 ล้านบาท และหุ้นกู้ของบริษัท เมืองไทย ลิสซิ่ง ออกและเสนอขายให้กับนักลงทุนสถาบันแบบเฉพาะเจาะจงไม่เกิน 10 ราย โดยมีการจัดอันดับความน่าเชื่อถือของบริษัทที่ BBB เสนอขายรุ่นอายุ 3 ปี อัตราดอกเบี้ย 3.7% มูลค่าที่เสนอขาย 800 ล้านบาท