posttoday

ปรับองศาการเงินให้ถูกต้อง ตั้งแต่เริ่มทำงาน

28 มิถุนายน 2560

โดย...จักรพงษ์ เมษพันธุ์ THE MONEY COACH

โดย...จักรพงษ์ เมษพันธุ์ THE MONEY COACH

ว่ากันว่าคนเราแม้จะมีจุดเริ่มต้นเดียวกัน แต่หากมีวิธีคิดที่แตกต่างกันเพียงเล็กน้อย เส้นทางชีวิตของพวกเขาก็จะเริ่มเบนออกห่างจากกัน เป็นสัดส่วนกับจำนวนรอบของเข็มนาฬิกาที่หมุนเวียนเปลี่ยนไป และยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไร ความแตกต่างก็จะยิ่งชัดเจนมากเท่านั้น

ต่อไปนี้เป็นเรื่องจริงของคนสองคนที่เริ่มทำงาน … ด้วยองศาที่แตกต่าง

นายเอ … ใช้ชีวิตของตัวเองเต็มพิกัด จับจ่ายเพื่อความสุขอย่างเต็มที่ เขาใช้สลิปเงินเดือนเปิดบัตรเครดิต 2 ใบ และสินเชื่อส่วนบุคคลอีก 1 รายการ ตั้งแต่ 3 เดือนแรกนับจากเริ่มทำงาน

เวลาผ่านไป 1 ปี เอแทบไม่มีเงินเหลือเก็บ จะมีก็แต่เงินสำรองเลี้ยงชีพที่บริษัทหักสะสมไว้ให้

นายบี … ตั้งปณิธานกับตัวเองว่า จะเก็บเงินให้ได้วันละ 80 บาท เพื่อสะสมไว้เผื่อใช้ฉุกเฉินและลงทุน เมื่อทำงานได้ครบ 6 เดือน เขาใช้สลิปเงินเดือนกู้ซื้อคอนโดขนาดย่อม ราคา 3 แสนบาท 3 หลัง เพื่อปล่อยให้เช่า สร้างกระแสเงินสดบวก 3,000 บาท เพิ่มเป็นรายได้ของตัวเอง

1 ปี ผ่านไป บีมีเงินเก็บครึ่งแสน พร้อมกับทรัพย์สินให้เช่าอีก 3 แห่ง

ผ่านพ้นปีที่ 5 ของการทำงาน …

แม้เงินเดือนจะเพิ่มขึ้น แต่เอก็ยังไม่มีเงินเก็บเหมือนเดิม บัตรทุกใบแทบเต็มวงเงิน จนต้องเปิดบัตรเพิ่ม แถมยังใช้โบนัสที่ได้ปลายปีดาวน์รถยนต์คันแรกให้ตัวเอง ทันทีที่ได้โปรโมชั่นจากรัฐบาล

ในขณะที่บีมีทั้งเงินเก็บจากเงินเดือน โบนัส และส่วนต่างค่าเช่าร่วมๆ 4 แสนบาท ในปลายปีที่ 5 นี้ บีตัดสินใจขายคอนโดทั้ง 3 ห้อง ได้กำไรจากส่วนต่างมาสมทบเพื่อลงทุนอีกเกือบ 3 แสนบาท

ด้วยสลิปเงินเดือนที่แพงขึ้น และเครดิตทางการเงินที่สั่งสมมา 5 ปี สร้างโอกาสให้บีลงทุนอสังหาฯ รอบใหม่อีกครั้ง ด้วยโมเดลเดิม แต่มูลค่าของทรัพย์สินเพิ่มขึ้น

เขาใช้สลิปเงินเดือนกู้ซื้อบ้านเช่า 2 หลัง ราคาหลังละ 1 ล้านบาทเศษ เก็บค่าเช่าหักค่าผ่อนชำระธนาคาร ได้กำไรรวม 1 หมื่นบาท/เดือน โดยที่ไม่ต้องใช้เงินลงทุนของตัวเองเลย

นอกจากนี้ เงิน 80 บาท/วัน ที่ดูเหมือนเล็กน้อย ปัจจุบันเขาหักเก็บเพิ่มเป็น 100 บาท/วัน และนำไปลงทุนในกองทุนรวมหุ้นไว้ทุกเดือน โดยตั้งใจว่าจะใช้เป็นกองทุนสำหรับเกษียณอายุของตัวเอง

จุดเริ่มต้นเดียวกัน ทรัพยากรที่เท่ากัน พาชีวิตทั้งคู่เบนออกห่างจากกันอย่างสิ้นเชิง น่าสนใจว่า อีก 5 ปีต่อจากนี้ … เรื่องราวของทั้งสองคนจะเป็นอย่างไร

ถ้าวิธีคิดยังเป็นแบบเดิม ผมเชื่อเหลือเกินว่าทุกท่านเดาคำตอบของคำถามนี้ได้ไม่ยาก

เรื่องเล่าในชีวิตจริงข้างต้น คือ เครื่องยืนยันถึงความสำคัญของวิธีคิด หรือ Mindset ทางการเงินได้เป็นอย่างดี

คนที่มีความรู้ทางการเงิน มีวิธีคิดที่ถูกต้อง รู้จักอดทนรอคอยความสำเร็จ ย่อมได้รับผลลัพธ์ในบั้นปลายที่น่าชื่นใจด้วยกันทั้งสิ้น

ในขณะที่คนซึ่งมีวิธีคิดทางการเงินที่สะเปะสะปะ อยากรวย แต่รักสบาย ก็คงยากที่จะทำได้เหมือนกับที่บีทำ

ทุกครั้งที่เดินสายไปบรรยายให้กับน้องๆ ว่าที่บัณฑิตตามมหาวิทยาลัยต่างๆ ผมมักจะบอกกับพวกเขาเสมอว่า “10 ปีแรกของการทำงาน คือ ตัวกำหนดอนาคตทางการเงินของคนเราในอนาคต”

ถ้า 10 ปีที่ว่านี้ ผ่านไปด้วยความว่างเปล่า ไม่ได้สะสมอะไรให้ตัวเองเลย ไม่ว่าจะเป็นความรู้ความสามารถในงาน ประสบการณ์ หรือความมั่งคั่ง

คุณก็คงเดาชีวิตตัวเองในอีก 40-50 ปี ได้ไม่ยาก

แต่ตรงกันข้าม หากน้องๆ ใช้ช่วงเวลาสำคัญนี้ สร้างความรู้สั่งสมประสบการณ์ และสะสมความมั่งคั่งไว้เป็นพื้นฐานอย่างเพียงพอ

ชีวิตของน้องก็จะได้รับรางวัลที่คุ้มค่า และควรคู่กับความตั้งใจและพยายามดีๆ กับชีวิต

เริ่มให้ถูกต้อง ก้าวเดินด้วยความอดทน การตัดสินเรื่องใดๆ ในชีวิต ต้องใช้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์

และเมื่อน้องเดินมาไกลมากพอ … น้องจะเริ่มเห็นองศาที่แตกต่าง

เมื่อถึงวันนั้น น้องจะขอบคุณตัวเองที่คิดและเดินถูกต้องตั้งแต่เมื่อ 10 ปีที่แล้ว