posttoday

เปิดวิธีจัดพอร์ต รับกำไรที่เหนือกว่าปี 2562

19 พฤศจิกายน 2561

วันนี้ ขอนำความรู้วิธีการจัดพอร์ตลงทุน กลยุทธ์การเข้าซื้อ-ขาย การเลือกหุ้น เพื่อสร้างคุณภาพในการลงทุนสามารถทำกำไรในปี 2562

เรื่อง...วารุณี อินวันนา

วันนี้ ขอนำความรู้วิธีการจัดพอร์ตลงทุน กลยุทธ์การเข้าซื้อ-ขาย การเลือกหุ้น เพื่อสร้างคุณภาพในการลงทุนสามารถทำกำไรในปี 2562 ให้เหนือกว่าที่ผ่านมา รวมถึงเรื่องที่ควรระวังกับ 7 สุดยอดผู้เชี่ยวชาญการลงทุน จากงาน SET in the city ในช่วง 3 วัน

เพราะในยุคที่อัตราดอกเบี้ยเงินฝากต่ำเตี้ยติดดิน หากไม่ลงทุนในหุ้น อนาคตทางการเงินคงเบลอๆ ในยุคที่อะไรๆ ก็แพงไปหมด ยกเว้นอัตราดอกเบี้ย

ในขณะที่หุ้น ขึ้นชื่อเรื่องความเสี่ยงสูง โอกาสที่จะได้กำไรก็สูง แต่ถ้าผลีผลามเข้าไปแบบความรู้ไม่พอ มีแต่หมดตัวสถานเดียว

ปี 2562 กูรูทั้ง 7 คน สรุปตรงกันว่าหุ้นไทยจะมีความผันผวนสูง ในทิศทางขาขึ้น หากสามารถเลือกหุ้นคุณภาพเข้าพอร์ตได้ มีโอกาสที่จะเก็บกำไรกินได้ เพราะพื้นฐานทางเศรษฐกิจไทยของไทยยังแข็งแกร่ง รัฐบาล รัฐวิสาหกิจ และภาคเอกชนจะมีการลงทุนเพิ่มอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี)

การเลือกตั้งจะเกิดขึ้นแน่นอนในปีหน้า แม้อาจจะเลื่อนออกไปถึงเดือน พ.ค. จะทำให้เศรษฐกิจเกิดความคึกคักจากนโยบายของรัฐบาลใหม่

ด้านเศรษฐกิจโลก ชะลอตัวลงเล็กน้อย และผลกระทบต่อตลาดทุนทั่วโลกจากพฤติกรรมของ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา จะน้อยลง หลังพรรคเดโมแครตครองเสียงสภาล่าง จะมาคานอำนาจการตัดสินใจของทรัมป์

เปิดวิธีจัดพอร์ต รับกำไรที่เหนือกว่าปี 2562

แนะวิธีจัดพอร์ตรับปีใหม่

ปีใหม่กำลังจะเข้ามา เหลือเวลาอีก 1 เดือนครึ่ง ในช่วงนี้ที่หุ้นขาลง ควรจะมีการปรับพอร์ตใหม่ หุ้นที่อนาคตไม่ดี ก็กำจัดออกไป แล้วไปหาหุ้นคุณภาพเข้ามาแทน

ทั้งนี้ ไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.ทิสโก้ แนะนำว่า สำหรับคนที่ไม่รู้จักหุ้นในต่างประเทศ ควรจะลงทุนในหุ้นไทย โดยเฉพาะหุ้นใหญ่ ปัจจัยพื้นฐานดี เพราะเศรษฐกิจไทยยังเติบโตได้อีก ดัชนีหุ้นไทยน่าจะขึ้นไปได้มากกว่า 5% อาจไปแตะที่ 1,850 จุด

ขณะที่การขายของนักลงทุนต่างชาติน่าจะเริ่มสงบ หลังขายหุ้นไทยออกมาเกือบ 3 แสนล้านบาทแล้ว ซึ่งไม่ได้ขายหุ้นไทยเพียงอย่างเดียว แต่ขายหุ้นในประเทศเกิดใหม่อื่นๆ ด้วย และการเลือกตั้งเริ่มชัดเจน

นักลงทุนรายย่อย แนะหลีกเลี่ยงหุ้นขนาดเล็ก ที่มีอัตราส่วนราคาหุ้นต่อกำไรสุทธิ (P/E) สูง

ด้าน พีรพงศ์ จิระเสวีจินดา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.บัวหลวง แนะนำให้กระจายการลงทุน โดยลงทุนในตราสารหนี้ 50% โดยจะได้ผลตอบแทนประมาณ 2% ลงทุนในหุ้น 25% และลงทุนในกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน กองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่า หรือกองรีท และหุ้นในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ที่ให้ปันผลดีประมาณ 5-6%

ส่วนการเลือกหุ้นเข้าพอร์ตนั้น ให้อิงหลัก 3D คือ หุ้น Domestic ในประเทศที่จะได้ประโยชน์จากเศรษฐกิจขาขึ้น หุ้น Defensive ปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่ง และหุ้น Dividend ปันผลดี เพราะจะมีความแข็งแกร่งในยุคที่ตลาดหุ้นผันผวนระยะสั้น

แนะหลีกเลี่ยง หุ้นที่ทำธุรกิจปิโตรเคมี และธุรกิจสำรวจและผลิตน้ำมัน เพราะมีกำลังการผลิตล้นตลาดทำให้ราคาน้ำมันยังคงอยู่ในระดับต่ำ

ในมุม ถนอมศักดิ์ สหรัตน์ชัย หัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เคที ซีมิโก้ แนะนำให้ใช้เหตุผลในการขจัดหุ้นที่ไม่มีอนาคตออกไปจากพอร์ต อย่าใช้ความชอบส่วนตัว เพราะถ้าใช้ความชอบส่วนตัวจะทำให้กอดหุ้นตัวนั้นไว้ แม้ในช่วงที่ราคาลง หรือหุ้นขึ้น

ขณะที่ เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ ฝ่ายวิจัย บล.เอเซีย พลัส แนะนำให้ลงทุนในหุ้นไทยและต่างประเทศรวม 60% ลงทุนในตราสารหนี้ 30% เน้นตราสารหนี้ระยะสั้น เพราะจะไม่ได้รับผลกระทบในช่วงอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น ลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือกที่เป็นไฮบริด 10%

ช่วงที่เหลือของปี 2561 เป็นโอกาสดีในการปรับพอร์ต หุ้นที่ไม่ดีให้ขายทิ้ง หาหุ้นปัจจัยพื้นฐานดี หุ้นปันผล และมีสภาพคล่อง เข้ามาแทน

แนะนำอย่าเก็บหุ้นบริษัทใดบริษัทหนึ่งมากเกินไปจนทำให้พอร์ตเบ้ ต้องสร้างความสมดุลของหุ้นในพอร์ต กลยุทธ์การซื้อ/ขาย+เลือกหุ้น

ด้าน มยุรี โชวิกรานต์ หัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) แนะนำว่า ในช่วงที่เหลือของปีนี้ ให้เน้นซื้อหุ้นขนาดใหญ่ ปัจจัยพื้นฐานดี อัตราส่วนราคาหุ้นต่อกำไรสุทธิ (P/E) ต่ำ

ที่ผ่านมาหลายคนอยากเห็น SET Index ไปถึง 2,000 จุด ถ้าหุ้นในพอร์ตเป็นหุ้นเล็กจะไม่ได้ประโยชน์หาก SET Index มีการปรับตัวเพิ่มขึ้น

ทั้งนี้ แนะนำให้หัดซื้อเป็นไม้ อาจแบ่งเป็น 3 ไม้ ถ้า SET Index ลงมากกว่า 1,635 จุด ให้เข้าซื้อ 1 ใน 3 ที่จะลงทุน หากหุ้นขึ้นได้กำไรให้ขายออกให้หมดครั้งเดียว

สำหรับตลาดหุ้นไทย จะได้รับแรงสนับสนุนในด้านบวกจากพื้นฐานเศรษฐกิจไทยที่ดีกว่าเดิม ซึ่งรองนายกรัฐมนตรี สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ได้เชิญสถาบันการจัดอันดับความน่าเชื่อถือชั้นนำมารับฟังข้อมูลพื้นฐานทางเศรษฐกิจไทย คิดว่าจะมีการทบทวนอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศขึ้น หลังจากที่ไม่ได้ปรับมาร่วม 7 ปี รวมถึงหลังการเลือกตั้ง 3-6 เดือน เงินลงทุนจากต่างชาติจะไหลเข้ามาครั้งใหญ่

สมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการและกรรมการผู้อำนวยการ สมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน แนะนำการลงทุนแบบถัวเฉลี่ยการลงทุน (DCA) สำหรับนักลงทุนรายย่อย เพื่อเฉลี่ยต้นทุนและยังเป็นการลงทุนสม่ำเสมอ และแนะนำให้ลงทุนในหุ้นไทย เพื่อความเสี่ยงเรื่องอัตราแลกเปลี่ยน ลดความผันผวนในแต่ละประเทศ

ส่วนนักลงทุนที่มีเงินก้อน เช่น มี 5 ล้านบาท แนะนำให้ทยอยซื้อเป็น 3 ก๊อก ยกตัวอย่าง ถ้า SET Index ลงไปต่ำกว่า 1,600 จุด ซื้อ 1 ก๊อก หรือ 1 ล้านบาท และถ้าลงไป 1,500 จุด อีกก็ซื้อ 2 ก๊อก และถ้าลงไป 1,400 จุด ก็ซื้อ 3 ก๊อก เพียง SET Index ขึ้นมาได้เพียงครึ่งทางของที่ลงไป ก็สามารถทำกำไรได้แล้ว

ในมุมของ ปริญญ์ พานิชภักดิ์ กรรมการผู้จัดการ บล.ซีแอลเอสเอ ประเทศไทย แนะนำลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ที่ราคาปรับตัวลงมามากแล้ว และหุ้นที่จะได้ประโยชน์จากการเติบโตทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะที่จะได้ประโยชน์จากการลงทุนในอีอีซี ซึ่งเป็นการลงทุนที่ใหญ่ที่สุดในรอบ 40 ปีของประเทศไทย

ทั้งนี้ ตลาดหุ้นไทยยังสามารถลงทุนและหวังผลกำไรได้ เพราะหากเทียบกับหุ้นในดัชนีเอ็มเอสซีไอแล้ว เอ็มเอสซีไอไทยชนะ เอ็มเอสซีไอตลาดหุ้นอื่นๆ หลายแห่ง

รวมถึง อย่าได้ตื่นตระหนกตกใจกับแรงเทขายจากบัญชีนักลงทุนต่างชาติ เพราะคนที่ขายไม่ใช่คนต่างชาติทั้งหมด แต่มีบางส่วนที่เป็นพอร์ตลงทุนของคนไทย ที่ไปเปิดบัญชีในต่างประเทศ เพื่อให้ที่ปรึกษาทางการเงินบริหารความมั่งคั่งให้ ก็มีการกลับเข้ามาซื้อหุ้นในไทย

จากความเห็นของ 7 สุดยอดผู้เชี่ยวชาญการลงทุน ทำให้สรุปเบื้องต้นได้ว่า การลงทุนในตลาดหุ้นไทย ยังมีโอกาสหาผลตอบแทนที่สูงได้ต่อเนื่อง หากรู้จักคัดสรรหุ้นที่มีคุณภาพ และจัดพอร์ตการลงทุนให้เกิดความเหมาะสม