posttoday

จับกระแสโลกด้วย ETF นวัตกรรมกองทุนที่ต้องติดตาม

20 มีนาคม 2561

สำหรับบทความในตอนที่แล้ว ผมได้เล่าถึงข้อดีของกองทุนรวมดัชนีในการตอบโจทย์การลงทุนระยะยาวตามข้อแนะนำ 5 ประการที่ผมได้เล่ามาในตอนก่อนๆ

โดย...ดร.ธนาวุฒิ พรโรจนางกูร บลจ.บางกอกแคปปิตอล

สำหรับบทความในตอนที่แล้ว ผมได้เล่าถึงข้อดีของกองทุนรวมดัชนีในการตอบโจทย์การลงทุนระยะยาวตามข้อแนะนำ 5 ประการที่ผมได้เล่ามาในตอนก่อนๆ

ซึ่งก็คือ 1.สินทรัพย์เสี่ยงต่ำอย่างเงินฝากไม่สามารถสร้างความมั่งคั่งในระยะยาวได้ 2.ค่าธรรมเนียมต่างๆ ในการลงทุนมีผลกระทบต่อเงินลงทุนระยะยาวอย่างมาก 3.การกระจุกตัวของความเสี่ยงในการลงทุนส่งผลลดทอนมูลค่าเงินทุนของเราอย่างคาดไม่ถึง 4.ผลตอบแทนของกองทุนหลังหักค่าใช้จ่ายต่างๆ มักไม่สามารถเอาชนะดัชนีการลงทุนได้ และ 5.การจะเลือกกองทุนที่ดีได้จะต้องเข้าถึงตัวตนของผู้จัดการกองทุน และเข้าใจแผนของเขา ซึ่งเป็นเรื่องยากสำหรับนักลงทุนส่วนใหญ่

สำหรับวันนี้ ผมจะมาเล่าถึงนวัตกรรมใหม่ของกองทุนรวมที่เป็นที่นิยมอย่างล้นหลามในต่างประเทศในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา แต่เพิ่งเริ่มมีนักลงทุนไทยสนใจในกองทุนประเภทนี้มากขึ้นในช่วง 2-3 ปีนี้เอง กองทุนประเภทใหม่นี้ คือ กองทุนรวม ETF หรือ Exchanged-Traded Fund นั่นเอง

ถ้าเรามาดูพัฒนาการของอุตสาหกรรมกองทุนรวมกัน จะเห็นว่ามันเริ่มต้นขึ้นในปี 1924 ที่มีไอเดียในการออกกองทุนรวมเป็นกองแรก นั่นก็คือ กองทุนในสหรัฐอเมริกาชื่อว่า The Massachusetts Investors’ Trust ซึ่งเป็นครั้งแรกที่นักลงทุนสามารถเข้าถึงการลงทุนที่มีการกระจายความเสี่ยงโดยอาศัยมืออาชีพในการตัดสินใจเลือกการลงทุนแทนนักลงทุน ธุรกิจกองทุนรวมจึงถือกำเนิดขึ้นและเติบโตอย่างต่อเนื่อง

จนต่อมาในปี 1976 บริษัท Vanguard ในสหรัฐ ได้ปฏิวัติวงการกองทุนรวมโดยการนำเสนอกองทุนรวมดัชนีกองแรกของโลกที่มีโครงสร้างค่าธรรมเนียมที่ต่ำจากกลยุทธ์การลงทุนเชิงรับที่เกาะตามดัชนี จากจุดเริ่มต้นเล็กๆ ของ Vanguard จนทุกวันนี้ได้ก้าวมาสู่การเป็นบริษัทจัดการกองทุนใหญ่อันดับสองของโลก ด้วยมูลค่าทรัพย์สินที่บริหารรวมถึง 4.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งนับเป็นความสำเร็จที่ปฏิเสธไม่ได้เลยของกองทุนรวมดัชนีในการพลิกโฉมอุตสาหกรรมกองทุน

และต่อมาในปี 1993 State Street Global Investors ก็ได้มีแนวคิดที่จะนำกองทุนรวมดัชนีที่เป็นที่นิยมนี้ไปจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เป็นครั้งแรกของโลก และนี่คือจุดกำเนิดของ ETF กองแรกในชื่อ S&P 500 Trust ETF (หรือที่เรียกกันว่า SPDR Spider) ที่ได้พลิกโฉมอุตสาหกรรมกองทุนครั้งใหญ่อีกครั้งหนึ่ง

โดยสรุปแล้ว ETF ก็คือ กองทุนรวมเปิดที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ทำให้มีการซื้อขายได้ตลอดและสามารถมองเห็นราคาได้ทันทีในระหว่างวัน โดยมีมาร์เก็ต เมกเกอร์ คอยให้ราคารับซื้อขายตามราคาเรียลไทม์ ของหลักทรัพย์ที่เป็นส่วนประกอบของ ETF

ข้อได้เปรียบของ ETF เพิ่มเติมจากกองทุนรวมดัชนีที่เล่าถึงข้างต้นมีสองประการหลักดังนี้

ประการแรก ความสามารถที่นักลงทุนสามารถซื้อขายกองทุน ETF เหมือนหุ้นในกระดานด้วยราคาที่รู้ได้ระหว่างวันทำให้นักลงทุนสามารถมีกลยุทธ์การลงทุนผ่าน ETF ได้ดีกว่าการลงทุนในกองทุนรวมธรรมดาที่เหมาะกับการลงทุนระยะยาวเท่านั้น

ประการที่ 2 ความสะดวกแก่นักลงทุนที่จะสามารถเคาะซื้อขายกองทุน ETF เหล่านี้ของทุกบริษัทจัดการกองทุนและชำระราคาผ่านบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์เพียงบัญชีเดียว ทำให้ ETF เป็นที่นิยมในการใช้วางแผนจัดสรรสินทรัพย์เพื่อการลงทุนได้เป็นอย่างดี ซึ่งการจัดสรรสินทรัพย์เพื่อการลงทุนในที่นี้ถือเป็นหัวใจสำหรับการลงทุนที่มีประสิทธิภาพตามกระแสหลักการลงทุนของโลกเลยทีเดียว

เราจะเห็นความสำเร็จของกองทุนรวม ETF ทั่วโลกได้จากมูลค่าทรัพย์สินที่เติบโตขึ้นจนมีมูลค่าทรัพย์สินเกือบ 4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐในปัจจุบัน (10 เท่าของจีดีพีประเทศไทยโดยประมาณ) โดยมีกองทุนรวม ETF ทั้งประเภทกองทุนรวมหุ้น กองทุนรวมตราสารหนี้ กองทุนรวมสินค้าโภคภัณฑ์ และการลงทุนทางเลือกเกือบ 4,000 ETF ทั่วโลก ซึ่ง 10 ปีที่ผ่านมาจะเห็นว่าเม็ดเงินสุทธิที่ลงทุนในกองทุนรวมทั่วโลกเพิ่มขึ้น เป็นเม็ดเงินที่เข้ามาใน ETF เกือบทั้งหมด

เห็นกันอย่างนี้แล้ว ในประเทศไทยเราก็มีกองทุนรวม ETF อยู่ถึง 16 กองทุนนะครับ แต่ด้วยความนิยมและความเข้าใจถึงประโยชน์ของกองทุนดัชนีและ ETF ในประเทศยังมีค่อนข้างต่ำ ทำให้มีอยู่เพียง 3 กองเท่านั้นที่มีสภาพคล่องที่เพียงพอกับการลงทุนได้ ได้แก่ กอง BMSCITH BSET100 และ TDEX ซึ่งเป็นกองทุนรวม ETF ที่ลงทุนตามดัชนีหุ้นไทยในรูปแบบที่แตกต่างกันได้แก่ ดัชนี MSCI Thailand (หุ้นขนาดใหญ่ที่ต่างชาติใช้ในการลงทุนหุ้นไทย) ดัชนี SET100 และดัชนี SET50 ตามลำดับ

ซึ่งต่อไปในอนาคต เราก็คงจะได้เห็นหลายๆ บลจ.จัดตั้งกองทุนรวม ETF มากขึ้นในตลาดบ้านเรา

ในปีนี้ ทาง บลจ.บางกอกแคปปิตอล (BCAP) ได้วางแผนที่จะออกกองทุนรวม ETF ที่ลงทุนในหุ้นไทยออกมาเพิ่มเติมให้นักลงทุนได้เพิ่มกลยุทธ์การลงทุนที่หลากหลายอีก 5-6 กองทุนด้วยกัน ซึ่งคาดหวังว่ากระแสการลงทุนผ่าน ETF ยังไงก็ต้องเข้ามาในไทยตามกระแสโลกอย่างแน่นอน ใครที่มองหาทางเลือกใหม่ที่ดีสำหรับการลงทุนและจัดสรรสินทรัพย์ก็ติดตามดูกันต่อไปนะครับ