posttoday

ยังมีปัจจัยให้ไปต่อ

10 มกราคม 2561

โดย...ดร.วิน อุดมรัชตวนิชย์ ประธานกรรมการบริหาร บล.เคทีบี (ประเทศไทย)

โดย...ดร.วิน อุดมรัชตวนิชย์ ประธานกรรมการบริหาร บล.เคทีบี (ประเทศไทย)

ขอสวัสดีปีใหม่แด่ทุกท่านนะครับ...ในปี 2561 นี้ดูเหมือนบรรยากาศการลงทุนยังดีต่อเนื่องจากปลายปีที่ผ่านมานะครับ ดัชนีหุ้นไทย (SET Index) เปิดทำการวันแรก (3 ม.ค.) บวกแรงทำสถิติใหม่ นับตั้งแต่ปี 2518 ขณะที่ตลาดหุ้นทั่วโลก โดยเฉพาะในเอเชียหลายตลาดปรับตัวขึ้นค่อนข้างแรงเลย ด้วยตลาดหุ้นไทยที่ขึ้นมากขณะนี้ และคาดการณ์ว่าในปี 2561 นี้ อาจจะขึ้นไปถึงระดับ 1,900 จุด ดังนั้นผมขอพูดถึงปัจจัยสำคัญๆ ในปี 2018 นี้ว่ามีแนวโน้มจะเป็นอย่างไรบ้าง...

เศรษฐกิจไทย (จีดีพี) ในปี 2561 KTBST คาดว่า จีดีพีจะโตอยู่ที่ 4.11% จากภาคการบริโภคที่ฟื้นตัวและการเติบโตของเศรษฐกิจโลกโดยเฉพาะกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว จีดีพีของไทยในปีนี้จะได้แรงขับจากภาคการส่งออกเป็นหลัก ประกอบกับจำนวนนักท่องเที่ยวจากกลุ่มประเทศอินเดีย จีน และสหรัฐ ที่เริ่มขยายตัวขึ้นตั้งแต่กลางปีที่ผ่านมา นอกจากนี้การบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนจะเริ่มกลับมาอีกครั้ง หากมีการเลือกตั้งตามที่ได้ประกาศไว้ ซึ่งเป็นผลบวกต่อกลุ่มรถยนต์ ตลอดจนการใช้จ่ายของชนชั้นกลางในภาคอสังหาริมทรัพย์ด้วย

หากมีเลือกตั้งเกิดขึ้นจริงในปี 2561 นี้ จะส่งผลให้การเมืองไทยมีความเชื่อมั่นมากขึ้นจากนักลงทุนต่างประเทศ ตลาดหุ้นจะมีปริมาณการซื้อขายมากขึ้นหลังกฎหมายลูก 2 ฉบับผ่านสภาฯ ช่วงประมาณเดือน ก.พ. 2561 เพราะจะเป็นสัญญาณว่าจะมีการเลือกตั้งในเดือน พ.ย. 2561 ได้หรือไม่ โดยผลบวกจากการเมืองที่ดีขึ้นสะท้อนไปในราคาหุ้นมาระดับหนึ่งแล้ว แต่หุ้นบางกลุ่มที่อิงกับการลงทุนภาครัฐ-เอกชนคาดว่าจะได้รับผลบวกในปีถัดไป หรือเมื่อมีความชัดเจนของกำหนดวันเลือกตั้ง

KTBST คาดว่าปี 2561 การเมือง-เศรษฐกิจของไทยจะมีเสถียรภาพมากขึ้น ส่งผลให้นักลงทุนต่างประเทศจะกลับมาลงทุนในตลาดหุ้นไทยอีกครั้งในช่วงต้นปี หลังจากนักลงทุนต่างชาติปรับพอร์ตขายสุทธิออกไปตั้งแต่เดือน ต.ค.ในปีที่ผ่านมา รวมทั้งการที่สหภาพยุโรป (อียู) และสหรัฐ ยังมีมุมมองต่อไทยดีขึ้น เห็นได้จากการปรับขั้น “Watch List” นอกจากนี้ยังมีปัจจัยบวกจากการปรับอัตราดอกเบี้ยภายใต้ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) คนใหม่ การเมืองในยุโรปที่เริ่มคลายความกังวลลง

อีกทั้งยังมีตัวแปรที่คอยสนับสนุนอย่างมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (คิวอี) ของทั้งยุโรปกับญี่ปุ่น ที่ทำให้ปริมาณเงินยังคงท่วมระบบ และเงินบาทที่แข็งค่า (เพราะส่งออกดี + เงินเข้ามาลงทุนในตลาดพันธบัตรจากส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ย) แต่ก็ยังมีปัจจัยต้องระวัง คือ

การขึ้นอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐและค่าเงินดอลลาร์ หากปรับขึ้นเร็วเกินไปจะส่งผลลบต่อตลาดหุ้น-พันธบัตรไทย ทำให้เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นได้ในระยะสั้น

ทั้งนี้ ด้วยปัจจัยบวกดังกล่าวนี้ จึงประเมินว่ากำไรตลาดปี 2561 จะขยายตัวอยู่ที่ 1.05 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น 8.8% ตลาดจะมีเงินลงทุนจากต่างชาติกลับมาอีกครั้ง และถูกขับเคลื่อนโดยกำไรของหุ้นในหลายอุตสาหกรรมหรือฟื้นตามภาวะเศรษฐกิจ

อีกปัจจัยหนึ่งที่น่าสนใจ คือ แนวโน้มของราคาสินค้าเกษตรที่คาดว่าในปี 2561 นี้จะดีขึ้นและเป็นผลบวกต่อหุ้นในกลุ่มนี้ด้วย โดยสินค้าเกษตรสำคัญที่เพิ่มขึ้น เช่น ข้าว ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ อ้อยโรงงาน สับปะรดโรงงาน ยางพารา ปาล์มน้ำมัน และผลไม้ ซึ่งมีปัจจัยสนับสนุนจากสภาพอากาศและยังมีน้ำต้นทุนเหลือมากพอสำหรับการทำเกษตร ประกอบกับการดำเนินนโยบายและมาตรการด้านการเกษตรอย่างต่อเนื่อง เมื่อเทียบในปีที่ผ่านมาสถานการณ์ราคาสินค้าเกษตรบางตัวก็ไม่ค่อยดีนัก ดังนั้นในประเด็นดังกล่าวจึงส่งผลบวกต่อหุ้นกลุ่มยางพารา ได้แก่ STA, TRUBB กลุ่มปาล์มน้ำมัน ได้แก่ LST กลุ่มผู้ที่มีฐานรายได้ในเขตภูมิภาค ได้แก่ TK, SINGER, JMART, CPALL

ต้องบอกว่าปีนี้การลงทุนค่อนข้างมีแนวโน้มที่สดใสนะครับ SET Index ที่ปรับตัวขึ้นมาสูงมากระดับนี้ต้องมีกลยุทธ์การลงทุนกันหน่อยนะครับ คงต้องเลือกลงทุนในหุ้นเป็นรายตัว รายกลุ่ม หรืออาจกระจายการลงทุนในหลายสินทรัพย์เพื่อรอจังหวะดีๆ และติดตามข่าวสารการลงทุนอย่างใกล้ชิดนะครับ