posttoday

LTF/RMF ลงทุนทั้งทีต้องเลือกกองใหม่???

05 ธันวาคม 2560

โดย...หมอนัท

โดย...หมอนัท

สวัสดีครับ นักลงทุนทุกท่าน ยินดีต้อนรับเข้าสู่ คอลัมน์ Fund Clinic แห่งนี้อีกครั้งนะครับ

ในช่วงต้นๆ เดือน ธ.ค.แบบนี้ ผมเริ่มเห็นนักลงทุนเริ่มที่จะซื้อกองทุนรวม LTF/RMF กันมากขึ้นเรื่อยๆ จากเดือนที่แล้วครับ แต่ในปีนี้ค่อนข้างที่จะมีเงินไหลเข้า LTF/RMF น้อยกว่าปกติ ทั้งนี้ก็เพราะว่าตลาดหุ้นไทยได้ปรับตัวขึ้นมาสูงพอสมควร และทรงตัวได้แถวๆ 1,700 นั่นเองครับ

การที่ตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นมาสูงทำให้นักลงทุนเองก็ยังคงรอคอย เผื่อว่าราคาหุ้นอาจจะลดต่ำลงมา และจะเป็นจังหวะให้เข้าซื้อครับ

จะสังเกตได้จากเวลาที่ตลาดหุ้นปรับตัวลดลงในช่วงนี้ ก็จะมีเงินไหลเข้าสู่ตลาดหุ้นจากผู้ลงทุนสถาบัน หรือว่าจากกองทุนนั่นเองครับ

จึงเป็นสาเหตุให้ดัชนีของตลาดหุ้นไทยในช่วงนี้ค่อนข้างจะไม่เปลี่ยน แปลง เพราะว่ามีแรงซื้อจากกองทุนที่เริ่มจะทยอยเข้ามาเรื่อยๆ

หากใครที่รอคอยจะซื้อกองทุน LTF/RMF ปลายปีแบบนี้ และหวังให้หุ้นลงหนักๆ แล้วเข้าไปซื้อนั้น อาจจะมีโอกาสมากขึ้นครับ

หรืออาจจะต้องลุ้นให้มีแรงขายจากนักลงทุนทั่วไป หรือจากต่างชาติที่มากกว่าเงินที่ไหลเข้า LTF/RMF ในช่วงปลายปีแบบนี้ครับ

นักลงทุนในกองทุนหลายคนเลยทำการกระจายความเสี่ยง โดยการทยอยลงทุนในช่วงเดือนสุดท้ายแบบนี้ ไม่ว่าจะเป็นการทยอยซื้อกองทุนทุกสัปดาห์ หรือว่าทยอยซื้อแบบจับจังหวะขึ้นลงของตลาดหุ้นไทยนั่นเอง

แต่ผมมักจะเจอนักลงทุนที่เข้าใจผิดเรื่องการกระจายความเสี่ยงอยู่บ่อยๆ นั่นก็คือ การลงทุนในกองทุน LTF/RMF หลายๆ กองทุนครับ ซึ่งจริงๆ แล้วเป็นความเข้าใจผิดของนักลงทุนครับ

เนื่องจากวิธีการนี้ไม่ได้เป็นการกระจายความเสี่ยงแต่อย่างใดครับ เนื่องจากกองทุน LTF และกองทุน RMF หุ้นนั้น มักจะมีการลงทุนในหุ้นพื้นฐานดี ที่มีแนวโน้มการเติบโตใน ระยะยาวๆ ได้ ที่เหมือนๆ กันครับ

พูดง่ายๆ ว่ากองทุนเหล่านี้มักจะเข้าไปถือครองหุ้นตัวเดียวกันนั่นเองครับ จึงไม่ได้ทำให้ความเสี่ยงลดลงแต่อย่างใด แต่กลับทำให้ความเสี่ยงต่อหุ้นตัวนั้นๆ สูงขึ้นเสียด้วยซ้ำ

และประเด็นที่สำคัญอีกอย่างก็คือ กองทุนหุ้นเหล่านี้มักจะมีหุ้นอยู่ในกองทุนประมาณ 30 ตัว ซึ่งหากเรากระจายการลงทุนไปยังประมาณ 6 กองทุน ก็จะทำให้เรามีหุ้นประมาณ 180 หุ้น ถ้าหากหักหุ้นซ้ำออกไป ก็น่าจะอยู่ที่ประมาณ 70-90 ตัวครับ นั่นก็หมายความว่า กองทุนที่เราถือนั้นจะคล้ายกับเราไปลงทุนในหุ้นกลุ่ม SET100 หรือว่า SET50 ครับ

หากพูดถึงกองทุน LTF/RMF ที่เป็นกองทุนดัชนี SET100, SET50 แล้วละก็จะมีค่าธรรมเนียมที่ถูกกองทุนหุ้นแบบ Active ทั่วไปครับ ดังนั้น หากเราจะต้องการกระจายการลงทุน ผมคิดว่าการลงทุนในกองทุน SET100, SET50 นั้นน่าจะเป็นคำตอบที่ดีกว่าการลงทุนในกองทุน LTF/RMF ที่เป็นกองทุน Active แบบปกติครับ

เพราะว่าค่าธรรมเนียมที่เรียกเก็บจากกองทุน หรือว่าค่าใช้จ่ายรวมที่เป็นค่าธรรมเนียมรายปี ในการลงทุนของ กองทุน LTF/RMF นั้นค่อนข้างสูงทีเดียวครับ แต่กองทุน LTF/RMF ที่เป็น SET100, SET50 จะมีค่าธรรมเนียมที่ถูกกว่ามาก ทำให้ลงทุนแล้วได้ผลตอบแทนที่ดีกว่าการกระจายการลงทุนไปยังกองทุนหลายๆ กองทุนครับ

อีกประการที่นักลงทุนชอบลงทุน มากๆ ก็คือ การลงทุนในกองทุนหุ้นที่เปิดใหม่ หรือว่าพยายามหากองทุนที่แปลกไปกว่าที่เคยลงทุน ทั้งที่กองทุนเดิมเองก็ยังคงทำผลตอบแทนได้ดีอยู่

พูดง่ายๆ ว่าเป็นกลุ่มที่อยากได้ของใหม่ๆ ผลตอบแทนดีๆ นั่นเองครับ

แต่ผมบอกได้เลยครับว่า ไม่มีกองทุนไหนที่จะดีได้ไปตลอดเวลาครับ ผมอยากให้นักลงทุนเลือกกองทุนที่ให้ผลตอบแทนสม่ำเสมอมากกว่า

อาจจะไม่ได้เป็นกองทุนที่ดูใหม่ หรือมีแนวทางการลงทุนที่แหวกแนวเท่าไหร่นัก หากแต่ยังคงทำผลตอบแทนได้อยู่ในเกณฑ์ดี และเราสามารถบรรลุเป้าหมายได้

ผมคิดว่าก็น่าจะเพียงพอต่อการลงทุนเพื่อให้เงินของเรางอกเงยแล้วครับ

เพราะว่าการปรับเปลี่ยนไปลงทุนในกองทุนใหม่ๆ ที่น่าอยู่เสมอๆ ก็จะเหมือนกับกรณีที่ผมได้เล่าไปก่อนหน้านี้ครับ มันจะเป็นการกระจายไปลงทุนในกองทุนหลายกองมากเกินไป และยังบริหารจัดการได้ยากอีกด้วยครับ

สุดท้ายนี้นักลงทุนเองก็ควรที่ จะลงทุนกับกองทุนเดิมๆ แบบเดิมๆ นี่แหละครับ

หากกองทุนที่ตนเองถืออยู่นั้นยังคงทำผลตอบแทนได้ แต่ก็ไม่ได้ความว่านักลงทุนต้องอยู่กับกองทุนเดิมๆ ไปตลอดนะครับ หากกองทุนที่เราถืออยู่ทำผลงานได้ไม่ดีแพ้เกณฑ์มาตรฐานอยู่ตลอดเวลา ก็ควรที่จะปรับเปลี่ยนเช่นกันครับ