เงินฟรีอยู่ที่ไหน
โดย...ภาววิทย์ กลิ่นประทุม ที่ปรึกษาการลงทุน บล.บัวหลวง
โดย...ภาววิทย์ กลิ่นประทุม ที่ปรึกษาการลงทุน บล.บัวหลวง
อยากเขียนเรื่องนี้เป็นหนังสือ แต่ไม่มีเวลา เลยเอามาเล่าเป็นบทความแทน
“เงินฟรี มีที่เดียว ในกระเป๋าสตางค์เรานั่นแหละ เดี๋ยวนะ!! มันจะฟรียังไง ในเมื่อการหาเงิน เราต้องเอาแรงงาน เอาเวลาเราไปแลกมาอย่างยากลำบาก?”
ก็นั่นน่ะซิ เราหาเงินกันมาอย่างยากลำบาก แต่พอเราเอาไปแทงหวย เอาไปแทงหุ้น เอาไปลงแชร์ลูกโซ่ มันกลายเป็นเงินฟรีที่รายย่อยมอบให้รายใหญ่แบบง่ายๆ เลย จริงไหม!!
- หน่วยงานที่ทำรายได้ให้รัฐบาลมากที่สุดคือ หนึ่ง สลากกินแบ่งรัฐบาล สอง การไฟฟ้า และ สาม ปตท. อันนี้คือ รายได้แบบเนื้อๆ ของรัฐบาล
ลองคิดซิว่า อะไรที่คนเรายอมจ่ายง่ายที่สุดแบบไม่คิดเลย คือ
1.วัดดวง 2.ของจำเป็น
เห็นไหมล่ะ ตามนั้นเลย-หวย ไฟฟ้า และก็พลังงาน
ในมุมของนักธุรกิจ ผมว่า มานั่งคิด พอจะเห็นว่า สาเหตุที่คนส่วนใหญ่ทำงานหนักแต่ไม่รวย ก็เป็นเพราะ เขาหาเงินยาก แต่จ่ายง่ายๆ
- ใช้เหตุผลในการหาเงิน แต่จ่ายเงินด้วยอารมณ์ จบไหมล่ะ
พอพูดถึงการลงทุน คนส่วนใหญ่จะมองว่า ไม่อยากลงทุน เพราะมันใช้เวลานาน รวยช้า แต่พอพูดเรื่องการเก็งกำไร หรือเสี่ยงดวง เราพร้อมลุยทันที
อย่างในตลาดหุ้นคน 80% แทงหุ้น อยากเสี่ยงดวงเพื่อรวยพรุ่งนี้ แต่สุดท้ายเสีย ในขณะที่คน 20% เขาลงทุนไม่ได้หวังรวยทันที แต่หวังกินยาวได้เรื่อยๆ คนที่หวังกินยาวได้เรื่อยๆ สุดท้ายกลับชนะตลาด นี่แหละที่ผมอยากจะชี้ให้เห็น
มาคุยเรื่องเงินฟรีในตลาด อยากจะเล่าให้ฟังว่า เมื่อคำนวณความเสี่ยงเป็นดังนี้
1.ปันผล อันนี้บริษัทที่เราถือหุ้นเป็นเจ้าของ เขาแบ่งให้เราฟรีทุกปี และแบ่งเพิ่มขึ้นเมื่อบริษัทเติบโต
2.เงินฟรี จากส่วนต่างของการเก็งกำไร โดยที่มีการหยุดขาดทุน ล็อกความเสี่ยง ก็คือ ซื้อขายหุ้นแบบมีการหยุดขาดทุนทำให้เวลาซื้อผิดทาง ก็เสียหายจำกัด พอถูกทางก็ได้เงินเป็นช่วง
3.เงินฟรี จากความอดทน รอให้หุ้นกิจการดี มีวิกฤต ก็เป็นอีกช่วงที่บางคนสามารถซื้อหุ้นดี ในราคาถูก จากนั้นก็ถือจนรวย
จะเห็นได้ว่า ทั้ง 3 แบบที่กล่าวมา จริงๆ มันก็ไม่ใช่เงินฟรี มันมีต้นทุนในการได้เงิน ซึ่งก็คือ “ความรู้”
ดังนั้น อย่าไปคิดว่า สามารถได้เงินง่ายๆ ฟรีๆ เพราะมันไม่มี พอไปหาสิ่งที่ไม่มีมันก็กลายเป็นเสียหายขาดทุนในที่สุด
อย่าไปพยายามหาของฟรี แต่ให้หาโอกาสจากความรู้ที่มีดีกว่าครับ