posttoday

เศรษฐีกับรากหญ้า… คนละชนชั้น? (จบ)

15 พฤศจิกายน 2560

โดย...กิติชัย เตชะงามเลิศ นักลงทุนหุ้นและอสังหาริมทรัพย์

โดย...กิติชัย เตชะงามเลิศ นักลงทุนหุ้นและอสังหาริมทรัพย์

บทความตอนที่แล้ว ผมได้นำภาพตารางแสดงปริมาณเงินฝากแยกตามขนาด ซึ่งทำให้เห็นภาพชัดเจนขึ้นว่าช่องว่างระหว่างคนรวยและคนจนมันช่างกว้างเสียเหลือเกิน มีเศรษฐี 43,463 คน หรือคิดเป็น 0.064% ของจำนวนประชากรไทยทั้งหมด ซึ่งมีเงินฝากรวมกันแล้วทั้งหมด = 5,483,050 ล้านบาท หรือคิดเป็น 42.95% ของจำนวนเงินฝากทั้งหมด ในขณะที่เรามีชนชั้นรากหญ้า 77.96% ซึ่งมีเงินฝากรวมกันแล้วทั้งหมด = 2,821,359 ล้านบาท หรือคิดเป็น 22.10% ของจำนวนเงินฝากทั้งหมด ที่เหลือเป็นชนชั้นกลาง ซึ่งมีจำนวน 1,389,250 คน หรือคิดเป็น 2.04% ของจำนวนประชากรไทยทั้งหมด มีเงินฝากรวมกันทั้งหมด = 4,462,894 ล้านบาท หรือคิดเป็น 34.95% ของจำนวนเงินฝากทั้งหมด ปัญหาคือเราจะทำอย่างไร เพื่อจะลดช่องว่างดังกล่าวให้แคบลง

แต่ไหนแต่ไรมา ผมไม่เคยศรัทธาการให้ปลา แต่ผมศรัทธาการสอนให้คนตกปลาเป็น ผมเห็นบริษัทต่างๆ ไม่ว่าบริษัทใหญ่หรือบริษัทเล็ก เวลาจะทำกิจกรรมสังคมก็มักจะเอาของไปแจก อย่างเช่นทุกฤดูหนาวก็จะเอาผ้าห่มไปแจก เป็นต้น ทำกันอย่างนี้ทุกปี ไม่รู้ว่าป่านนี้คนจนมีผ้าห่มกี่สิบผืนแล้ว แต่คนจนก็ยังคงยากจนอยู่เหมือนเดิม ทำไมไม่สอนวิธีการทำมาหากิน การสร้างรายได้ให้กับคนเหล่านี้ เพื่อให้เขามีวิชาติดตัว สามารถพึ่งพาตนเองได้ไม่ดีกว่าเหรอ สู้ใช้วิธีการช่วยเหลือสังคมแบบ Social Enterprise (SE) น่าจะได้ประโยชน์มากกว่าและยั่งยืนกว่า ซึ่งผมเคยเขียนบทความเกี่ยวกับ SE ลงในหนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์เมื่อ 2 ปีที่แล้ว สามารถที่จะติดตามอ่านได้ที่ http://kitichai1.blogspot.com/2016/04/se-csr.html

ทางภาครัฐกับภาคเอกชนร่วมมือกัน แล้วให้ภาคอุตสาหกรรมต่างๆ ของหอการค้าแห่งประเทศไทย ส่งตัวแทนเข้ามาวางแผนกับภาครัฐในการทำ SE จัดตั้งสำนักงานพัฒนาแรงงาน เพื่อให้มีความสามารถสอดคล้องกับความต้องการของภาคเอกชน ให้รัฐเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายในการพัฒนาแรงงานของคนจนเหล่านี้ จากฐานของผู้มีบัตรคนจน 10 กว่าล้านใบ รัฐสามารถที่จะติดต่อคนเหล่านี้ให้เข้ามาฝึกและพัฒนาฝีมือแรงงาน เริ่มต้นอาจจะต้องมีแรงกระตุ้น

อย่างเช่นถ้าคนจนคนไหนที่มารับการฝึกพัฒนาฝีมือแรงงาน ก็จะได้เบี้ยเลี้ยงทุกวันที่มาฝึก แล้วเมื่อถึงสิ้นคอร์สอบรม ถ้าใครสอบผ่านก็จะได้รับโบนัสอีกต่างหาก พอสำเร็จการอบรมก็จะทำให้คนจนเหล่านี้มีทางเลือกที่จะไปประกอบอาชีพจากความรู้ที่ได้รับมา หรือไปทำงานกับ SE ต่างๆ โดยกำหนดให้ SE จะต้องรับแรงงานเหล่านี้เข้าทำงาน และทุกองค์กรของ SE จะต้องมีแรงงานเหล่านี้ไม่ต่ำกว่าครึ่งหนึ่งของจำนวนพนักงานทั้งหมด และรัฐก็ควรจะให้ฝ่ายเอกชนนำค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้มาลดหย่อนภาษีได้ตามสมควร เพื่อเป็นการกระตุ้นให้ภาคเอกชนถึงประโยชน์ ทั้งทางด้านประหยัดภาษีและภาพลักษณ์ขององค์กร ก็จะเป็น win win win ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และคนจนทั้งประเทศ

ยิ่งถ้าลงไปในระดับหอการค้าของจังหวัดได้ ก็จะทำให้การช่วยเหลือคนจนได้ทั่วถึงมากขึ้น ผมคิดว่าจะลดปริมาณคนจนในประเทศได้เป็นอย่างมาก ซึ่งจะทำให้ช่องว่างระหว่างคนรวยและคนจนแคบลง

กลับมาที่เรื่องของคนที่มีเงินฝากกันบ้าง จากฐานข้อมูลของธนาคารแห่งประเทศไทยเมื่อสิ้นสุดเดือน ส.ค. 2560 พบว่ามีบัญชีเงินฝากทั้งสิ้น 92,537,617 บัญชี รวมเป็นเงิน 12,767,304 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่จะฝากอยู่ที่สถาบันการเงินใหญ่ๆ ตัวเลขล่าสุดที่ผมเช็กมา อัตราดอกเบี้ยฝากประจำ 1 ปี ของธนาคารกรุงเทพ = 1.50% ในขณะที่ถ้าฝากกับบริษัทเครดิตฟองซิเอร์แห่งหนึ่ง อัตราดอกเบี้ยฝากประจำ 1 ปี = 3.50% อัตราดอกเบี้ยแตกต่างกันเกินเท่าตัวด้วยซ้ำ ทั้งที่สถาบันการเงินทั้งสองแห่งก็อยู่ภายใต้ความคุ้มครองของสถาบันคุ้มครองเงินฝาก (สคฝ.) เหมือนกัน

สมมติว่ามีเงินฝากอยู่ที่ธนาคารกรุงเทพ 15 ล้านบาท พอครบปีท่านจะได้ดอกเบี้ย 2.25 แสนบาท ในขณะที่ฝากเงินกับบริษัทเครดิตฟองซิเอร์แห่งนั้น พอครบปีถ้าจะได้ดอกเบี้ย 5.25 แสน บาท จะเห็นได้ว่าดอกเบี้ยแตกต่างกันถึง 3 แสนบาทเลยทีเดียว (ยังไม่ได้หักภาษีจากดอกเบี้ยที่ได้รับ) ทั้งๆ ที่ สคฝ.คุ้มครองเงินฝากในวงเงิน 15 ล้านบาทต่อบัญชีสถาบันการเงิน เพียงแค่ทำการบ้านหน่อย ถามอากู๋ว่ารายชื่อสถาบันการเงินที่อยู่ในความคุ้มครองของ สคฝ.มีอะไรบ้าง แค่นี้ก็จะได้ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น ทั้งๆ ที่จำนวนเงินต้นเท่าเดิมและช่วงเวลาฝากก็เท่าเดิม

แต่อย่าลืมนะครับว่า สคฝ.เตรียมที่จะขยับลดความคุ้มครองเงินฝากให้เหลือเพียง 10 ล้านบาท ในวันที่ 11 ส.ค. 2561 จากปัจจุบันที่คุ้มครองไม่เกิน 15 ล้านบาท และหลังจากวันที่ 11 ส.ค. 2563 เป็นต้นไป จะคุ้มครองเงินฝากเหลือเพียงบัญชีละ 1 ล้านบาทต่อสถาบันการเงิน พอถึงเวลานั้นก็ย้ายเงินฝากไปไว้ที่บริษัทเครดิตฟองซิเอร์ทั้ง 3 แห่ง และบริษัทเงินทุนอีก 2 แห่ง ซึ่งแน่นอนจะได้รับดอกเบี้ยสูงกว่าฝากกับธนาคารพาณิชย์ทั่วไป แต่ไหนแต่ไรผมชอบนินทาคนที่ฝากเงินกับธนาคารว่าเป็นคนสิ้นคิด ช่วยคิดเพิ่มอีกหน่อยก็ดีนะครับ