posttoday

หุ้นไทยร้อนแรงไปต่อ หรือรอจังหวะ

25 กันยายน 2560

โดย...บุญชัย เกียรติธนาวิทย์ กรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.ธนชาต

โดย...บุญชัย เกียรติธนาวิทย์ กรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.ธนชาต

ในช่วงเวลา 1 เดือนที่ผ่านมา เป็นช่วงที่ผู้ลงทุนในหุ้นไทยแทบทุกคนพอร์ตลงทุนเป็นสีเขียวกันถ้วนหน้า เพราะตลาดหุ้นไทยปรับขึ้นจากปลายปีที่แล้วเกือบ 100 จุด ทั้งที่ในช่วงก่อนวันที่ 25 ส.ค. ตลาดหุ้นไทยยังไม่ไปไหน ตั้งแต่ต้นปีดัชนีเคลื่อนไหวเพิ่มขึ้นเพียง 30 กว่าจุดเท่านั้น

ที่ผ่านมา บลจ.ธนชาต ก็ให้น้ำหนักในการถือครองหุ้นในกองทุนหุ้นไทยในสัดส่วนที่สูง คือ มากกว่า 90% มาโดยตลอด เพราะมองเห็นว่าหุ้นไทยเองยังปรับตัวขึ้นน้อยกว่าตลาดเพื่อนบ้านอยู่มาก ไม่ว่าจะเวียดนาม มาเลเซีย หรืออินโดนีเชีย ที่ต่างพากันปรับตัวรับเศรษฐกิจโลกกันไปก่อนหน้านี้แล้ว ตารางเปรียบเทียบความน่าสนใจของตลาดหุ้นไทยเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน

อีกประเด็นสำคัญ เชื่อว่าสถานการณ์ทางการเมืองไม่น่าจะตึงเครียดมากนัก ทำให้ช่วงก่อนเหตุการณ์วันที่ 25 ส.ค. ผู้จัดการกองทุนของเราได้ลดสัดส่วนลงเพียง 5% เท่านั้น และในวันที่ 25 ส.ค. ก็ปรับเพิ่มสัดส่วนกลับมาให้เท่าเดิม เมื่อปรากฏว่าสถานการณ์ไม่รุนแรงตามคาด ประกอบเป็นช่วงที่นักลงทุนต่างชาติเริ่มทยอยลดพอร์ตลงทุนในกลุ่มเอเชียเหนือลงจากความกังวลเรื่องเกาหลีเหนือ ทำให้เม็ดเงินไหลเข้ามาในหุ้นไทยเพิ่มอย่างมีนัยสำคัญ เห็นได้ชัดจากในวันที่ 29 ส.ค.ที่เป็นวันที่ดัชนีหุ้นไทยทะลุ 1,600 จุดเป็นวันแรก พบว่ามีมูลค่าการเทรดกว่า 9.5 หมื่นล้านบาท โดยมีเม็ดเงินไหลเข้าจากนักลงทุนต่างชาติไหลเข้าสุทธิจากช่วงนั้นจนถึงปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 1.6 หมื่น ล้านบาท

สาเหตุหลักที่ทำให้นักลงทุนต่างชาติสนใจหุ้นไทยนั้น มาจากที่พวกเขาเชื่อว่าตัวเลขการเติบโตของกําไรของบริษัทจดทะเบียนน่าจะอยู่จุดต่ำสุดแล้ว เพราะฐานการเติบโตในไตรมาส 4 ปีที่ผ่านมาค่อนข้างต่ำ ทำให้นักลงทุนต่างชาติเชื่อว่าตัวเลขการเติบโตจะดีไปอีกอย่างน้อย 3 ไตรมาส ประกอบกับเมื่อนักลงทุนต่างชาติเริ่มเชื่อมั่นเรื่องการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยรวมถึงมั่นใจกับสถานการณ์การเมืองในประเทศว่ามีเสถียรภาพ ทำให้ตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นมาร้อนแรงและให้ผลตอบแทนกว่า 6% ในช่วง 1 เดือนนี้ และแม้ว่าดัชนีหุ้นไทยจะเริ่มขึ้นมาสูง แต่ในมุมมองผู้จัดการยังไม่เห็นสัญญาณที่น่ากังวลเพราะถ้าประเมินสัดส่วนราคาต่อกำไรในอนาคต ของไทยก็อยู่ที่ 15 เท่าเทียบกับเพื่อนบ้านก็ถือว่ายังต่ำ แม้จะไม่ได้เรียกว่าถูกนัก แต่ก็ไม่ได้สูงจนเกินไป ประกอบกับภาวะดอกเบี้ยต่ำในปัจจุบันก็เป็นปัจจัยเอื้อกับการลงทุนในตลาดหุ้น

แล้วจะหาจังหวะขายไปก่อน หรือถือต่อไป และจะยังให้ความสนใจในหุ้นขนาดใหญ่ต่อหรือไม่ หรือหันไปสนใจหุ้นขนาดกลางหรือเล็กแทน สำหรับในมุมมองผู้จัดการกองทุน ยังให้น้ำหนักการลงทุนในหุ้นไทยอยู่เหมือนเดิม แต่อาจเริ่มเลือกเฟ้นหุ้นขนาดกลางและเล็กมากขึ้น โดยพิจารณาปัจจัยเฉพาะอย่าง มีการปรับโครงสร้างธุรกิจ มีการขยายกำลังการผลิต หรือแม้แต่มีการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ และอาจมีการเปลี่ยนกลุ่มอุตสาหกรรมที่สนใจไปบ้าง เช่น กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค ที่ในช่วงครึ่งปีแรกทำผลงานได้ไม่ดีนัก เราคาดว่าในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีน่าจะปรับตัวขึ้นได้ เพราะในทางหนึ่งเมื่อเศรษฐกิจเริ่มปรับตัวดีขึ้นอย่างที่เห็นได้ชัด ราคาสินค้าเกษตรปรับตัวดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ จะทำให้ภาคครัวเรือนเริ่มมีรายได้ ซึ่งในไตรมาส 3 ก็เริ่มเห็นสัญญาณว่ามีการนำเงินที่ได้จากการขายสินค้าไปใช้หนี้ ทำให้เริ่มมีเม็ดเงินกลับมาบริโภคในระบบมากขึ้น ซึ่งแน่นอนว่าจะเป็นแรงบวกในหุ้นกลุ่มนี้ กลุ่มรับเหมาก่อสร้างที่จะได้ประโยชน์จากการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐบาลโดยตรง ถึงแม้ว่าที่ผ่านมาจะมีการประมูลและเริ่มดำเนินการก่อสร้างไปหลายโครงการแล้ว แต่ก็ยังเหลือโครงการที่รอประมูลอยู่อีกหลายโครงการ ดังนั้นกลุ่มนี้ก็ยังคงมีความน่าสนใจอยู่

กลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี ยังให้ความสนใจ เพราะเศรษฐกิจโลกยังดี ความต้องการใช้น้ำมันยังมีสูง ดังนั้นในกลุ่มนี้ก็ยังให้น้ำหนักอยู่

กลุ่มสุดท้าย กลุ่มท่องเที่ยว เนื่องจากช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี ถือเป็นฤดูกาลสำหรับนักลงทุนที่ยังกังวลว่าราคาที่ปรับขึ้น คาดว่าจะมีแรงซื้อจากนักลงทุนไทยเข้ามาในกองทุนลดหย่อนภาษีอย่างกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) ที่ปัจจุบันกองทุน LTF มีเม็ดเงินไหลเข้าอยู่ ประมาณ 1.2 หมื่นล้านบาทเท่านัั้น ซึ่งอย่างน้อยๆ หลังจากนี้น่าจะต้องมีเงินเข้ามาในตลาดหุ้นไทยมากกว่า 1 หมื่นล้าน น่าจะช่วยหนุนตลาดหุ้นได้ส่วนหนึ่ง

แม้ว่า บลจ.ธนชาตจะเชื่อว่า หุ้นไทยน่าจะไม่มีการปรับตัวลดลงแรงนัก เพราะยังไม่เห็นปัจจัยลบที่มีนัยสำคัญมากนัก และยังเชื่อว่าในปีหน้าเศรษฐกิจก็ยังเติบโตได้ แต่ท้ายที่สุดแล้วก็ไม่อยากให้นักลงทุนคาดหวังผลตอบแทนที่สูงมากนัก เพราะตลาดหุ้นไทยและตลาดหุ้นโลกก็ต่างปรับตัวขึ้นมาพอสมควรแล้ว สำหรับนักลงทุนที่ต้องการลงทุนใน LTF/RMF และยังกังวลราคาหุ้นที่ปรับตัวสูงขึ้น อาจพิจารณาลงทุนกองทุนประเภท Low Beta เพื่อลดความผันผวนได้เช่นกัน